Saturday, August 13, 2011

24.พระปุณณะ มันตานีบุตร

พระปุณณะ มันตานีบุตร


ปุณณะ มันตานีบุตร คือพระเถระชื่อว่า ปุณณะ  ท่านเป็นบุตรของนางมันตานีพราหมณี จึงชื่อว่า ปุณณะ มันตานีบุตร   เกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในหมู่บ้านพราหมณ์ ชื่อโทณวัตถุ ไม่ไกลกรุงกบิลพัสดุ์   ในวันขนานนาม พวกญาติขนานนามท่านว่า ปุณณมาณพ  ท่านเป็นหลานของพระอัญญาโกณฑัญญะ
                เมื่อพระศาสดาทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณ ทรงประกาศธรรมจักรอันประเสริฐ เสด็จดำเนินมาโดยลำดับ เข้าอาศัยอยู่ยังกรุงราชคฤห์  ในพรรษาที่ ๒  พระอัญญาโกณฑัญญเถระได้ไปยังกรุงกบิลพัสดุ์เพื่อให้ปุณณมาณพหลานชายของตนบวช
                วันรุ่งขึ้น พระอัญญาโกณฑัญญเถระจึงมาเฝ้าพระทศพล ถวายอภิวาทแล้วก็ทูลลาไปยังสระฉัททันต์เพื่อพักผ่อนกลางวัน ด้วยไม่ต้องการคลุกคลีกับหมู่  
ฝ่ายพระปุณณะ มันตานีบุตร มิได้มาเฝ้าพระทศพลพร้อมกับพระอัญญาโกณฑัญญเถระผู้ลุง เพราะคิดว่า เราจักทำกิจแห่งบรรพชาของเราให้ถึงที่สุดแล้วจึงจักไปเฝ้าพระทศพล  ดังนี้  จึงตั้งใจเจริญสมณธรรมพำนักอยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์นั่นเอง  กระทำโยนิโมนสิการกรรมฐาน ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัตผล


ผลงานของท่าน

                พระปุณณะ มันตานีบุตร มีกุลบุตรออกบวชในสำนักของท่านถึง ๕๐๐ รูป จึงสอนบรรพชิตเหล่านั้นด้วย กถาวัตถุ ๑๐   บรรพชิตเหล่านั้นดำรงอยู่ในโอวาทของท่านก็ได้บรรลุพระอรหัตหมดทุกรูป   ภิกษุเหล่านั้นรู้ว่ากิจแห่งบรรพชาของตนถึงที่สุดแล้ว จึงเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์กล่าวว่า  ท่านผู้เจริญ  กิจของพวกกระผมและผู้ได้มหากถาวัตถุ ๑๐ ถึงที่สุดแล้ว เป็นสมัยที่พวกกระผมจะเฝ้าพระทศพล  
พระเถระฟังถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้นแล้วจึงคิดว่า  พระศาสดาทรงทราบว่า เราได้กถาวัตถุ ๑๐  เมื่อเราแสดงธรรมก็แสดงไม่พ้นกถาวัตถุ  ๑๐  เมื่อเราไป  ภิกษุทั้งหมดนี้ก็จะแวดล้อมไป  ก็การไปด้วยคลุกคลีด้วยหมู่คณะอย่างนี้เข้าเฝ้าพระทศพลของเรา ย่อมไม่ควร   ภิกษุเหล่านี้ควรจะไปเฝ้าก่อน 
คิดดังนี้แล้วจึงกล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า  อาวุโส ท่านทั้งหลายจงล่วงหน้าไปเฝ้าพระตถาคต และจงกราบพระบาทของพระองค์ตามคำของเรา  แม้เราก็จักไปตามทางที่ท่านไปแล้ว  
ภิกษุเหล่านั้นทุกรูปล้วนอยู่ในรัฐที่เป็นชาติภูมิเดียวกับพระทศพล  ทั้งหมดเป็นพระขีณาสพ  ได้กถาวัตถุ ๑๐ หมดทุกรูป  ยินดียิ่งซึ่งโอวาทของอุปัชฌาย์ของตน ไหว้พระเถระแล้วเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ล่วงหนทางถึง ๖๐ โยชน์ จนถึงพระเวฬุวันมหาวิหารในกรุงราชคฤห์  ถวายบังคมพระบาทของพระทศพลแล้วพากันนั่งอยู่  ณ  ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง  
อาจิณวัตรอย่างหนึ่งของพระผู้มีพระภาคทั้งหลาย ก็คือจะทรงชื่นชอบตอบกับอาคันตุกะภิกษุทั้งหลาย   ดังนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงกระทำปฏิสันถารด้วยมธุรวาจากับภิกษุเหล่านั้นโดยนัยมีอาทิว่า  พอทนได้หรือภิกษุทั้งหลาย  แล้วตรัสถามว่า พวกเธอมาแต่ไหน  เมื่อภิกษุเหล่านั้นทูลตอบว่ามาจากชาติภูมิ จึงตรัสถามภิกษุผู้ได้กถาวัตถุ ๑๐ ว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  พวกภิกษุผู้เป็นเพื่อนพรหมจรรย์ชาวชาติภูมิเดียวกันได้สรรเสริญใครหนอแลอย่างนี้ว่า  ตนเองก็ปรารถนาน้อยด้วย สอนภิกษุทั้งหลายเรื่องปรารถนาน้อยด้วย  ดังนี้ 
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ท่านชื่อว่าปุณณะ มันตานีบุตร พระเจ้าข้า 
ท่านพระสารีบุตรได้ฟังถ้อยคำนั้นก็ใคร่ที่จะพบพระปุณณเถระ
                ครั้นต่อมา พระศาสดาได้เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ไปสู่กรุงสาวัตถี  พระปุณณเถระได้ยินว่าพระทศพลเสด็จมากรุงสาวัตถี  จึงคิดว่าเราจักเฝ้าพระศาสดา จึงออกเดินทางไปจนทันเฝ้าพระตถาคตที่ภายในพระคันธกุฎีทีเดียว  พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่ท่าน ชื่อ อนันตนัย  อันอาศัยกถาวัตถุ ๑๐ 


สนทนากับพระสารีบุตร


                พระเถระสดับธรรมแล้ว ถวายอภิวาทพระทศพล  ไปยังป่าอันธวันเพื่อหลีกเร้น  นั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง  ฝ่ายพระสารีบุตรเถระทราบว่าท่านมา  มองหาทิศทางแล้วเดินไป กำหนดโอกาสเข้าไปยังโคนไม้นั้น  แล้วสนทนากับพระปุณณเถระ โดยถามถึงลำดับแห่งวิสุทธิ ๗ ใน รถวินีตสูตร  ดังมีความย่อว่า
                สา.      ท่านผู้มีอายุ  ข้าพเจ้าถามท่านว่า  สีลวิสุทธิเป็นอนุปาทาปรินิพพานหรือ  จิตตวิสุทธิ  ทิฏฐิวิสุทธิ  กังขาวิตรณวิสุทธิ  มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ  ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ  ญาณทัสสนวิสุทธิ เป็นอนุปาทาปรินิพพานหรือ   ธรรมที่นอกไปจากธรรมเหล่านี้เป็นอนุปาทาปรินิพพานหรือ  ท่านก็ตอบว่า ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น  เมื่อเป็นเช่นนี้ จะพึงเห็นเนื้อความของถ้อยคำที่ท่านกล่าวนี้อย่างไรเล่า ? 
                ปุณณ.      ท่านผู้มีอายุ  ถ้าพระผู้มีพระภาคจักทรงบัญญัติสีลวิสุทธิว่าเป็นอนุปาทาปรินิพพานแล้วไซร้ ก็ชื่อว่าทรงบัญญัติธรรมที่ยังมีอุปาทานว่าเป็นอนุปาทาปรินิพพาน  ถ้าจักทรงบัญญัติจิตตวิสุทธิ  ทิฏฐิวิสุทธิ  กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ  ปฏิปทาญาณ ทัสสนวิสุทธิ  ญาณทัสสนวิสุทธิ ว่าเป็นอนุปาทาปรินิพพานแล้วไซร้ ก็ชื่อว่าทรงบัญญัติธรรมที่ยังมีอุปาทานว่าเป็นอนุปาทาปรินิพพาน    ถ้าหากว่าธรรมนอกจากธรรมเหล่านี้จักเป็นอนุปาทาปรินิพพานแล้วไซร้  ปุถุชนจะชื่อว่าปรินิพพาน เพราะว่าปุถุชนไม่มีธรรมเหล่านี้  ท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าจะอุปมาให้ท่านฟัง  บุรุษผู้เป็นวิญญูชนบางพวกในโลกนี้ย่อมรู้เนื้อความแห่งคำที่กล่าวแล้วด้วยอุปมา


                                                                อุปมาด้วยรถ ๗ ผลัด

                ท่านผู้มีอายุ  เปรียบเหมือนพระเจ้าปเสนทิโกศลกำลังประทับอยู่ในพระนครสาวัตถี  มีพระราชกรณียะด่วนบางอย่างเกิดขึ้นในเมืองสาเกต  และในระหว่างพระนครสาวัตถีกับเมืองสาเกตนั้นจะต้องใช้รถถึง ๗ ผลัด   ลำดับนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จออกจากพระนครสาวัตถี ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่หนึ่งที่ประตูพระราชวัง  เสด็จไปถึงรถพระที่นั่งผลัดที่สองด้วยรถพระที่นั่งผลัดที่หนึ่ง  จึงทรงปล่อยรถพระที่นั่งผลัดที่หนึ่ง 
ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่สอง เสด็จไปถึงรถพระที่นั่งผลัดที่สามด้วยรถพระที่นั่งผลัดที่สอง ทรงปล่อยรถพระที่นั่งผลัดที่สอง 
ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่สาม เสด็จไปถึงรถพระที่นั่งผลัดที่สี่ด้วยรถพระที่นั่งผลัดที่สาม ทรงปล่อยรถพระที่นั่งผลัดที่สาม
ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่สี่ เสด็จไปถึงรถพระที่นั่งผลัดที่ห้าด้วยรถพระที่นั่งผลัดที่สี่   ทรงปล่อยรถพระที่นั่งผลัดที่สี่
ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่ห้า เสด็จไปถึงรถพระที่นั่งผลัดที่หกด้วยรถพระที่นั่งผลัดที่ห้า ทรงปล่อยรถพระที่นั่งผลัดที่ห้า
ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่หก เสด็จไปถึงรถพระที่นั่งผลัดที่เจ็ดด้วยรถพระที่นั่งผลัดที่หก ทรงปล่อยรถพระที่นั่งผลัดที่หก 
ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่เจ็ด เสด็จไปถึงเมืองสาเกตที่ประตูพระราชวังด้วยรถพระที่นั่งผลัดที่เจ็ด
ถ้าพวกมิตรอำมาตย์ หรือพระญาติสาโลหิต จะพึงทูลถามพระองค์ซึ่งเสด็จถึงประตูพระราชวังว่า  ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์เสด็จมาจากพระนครสาวัตถีถึงเมืองสาเกตที่ประตูพระราชวัง ด้วยรถพระที่นั่งผลัดนี้ผลัดเดียวหรือ  ท่านผู้มีอายุ  พระเจ้าปเสนทิโกศลจะตรัสตอบอย่างไร จึงจะเป็นอันตรัสตอบถูกต้อง ? 
                สา.     ท่านผู้มีอายุ  พระเจ้าปเสนทิโกศลจะต้องตรัสตอบอย่างนี้ จึงจะเป็นอันตรัสตอบถูกต้อง คือ เมื่อฉันกำลังอยู่ในนครสาวัตถีนั้น มีกรณียะด่วนบางอย่างเกิดขึ้นในเมืองสาเกต  ก็ในระหว่างนครสาวัตถีกับเมืองสาเกตนั้นจะต้องใช้รถถึง ๗ ผลัด  เมื่อเช่นนั้น ฉันจึงออกจากนครสาวัตถีขึ้นรถผลัดที่หนึ่งที่ประตูวัง ไปถึงรถผลัดที่สองด้วยรถผลัดที่หนึ่ง  ปล่อยรถผลัดที่หนึ่ง ขึ้นรถผลัดที่สอง ไปถึงรถผลัดที่สามด้วยรถผลัดที่สอง  ปล่อยรถผลัดที่สอง ...  ผลัดที่สาม ...  ผลัดที่สี่ ...  ผลัดที่ห้า ...  ผลัดที่หก ...  ขึ้นรถผลัดที่เจ็ด  ไปถึงเมือสาเกตที่ประตูวังด้วยรถผลัดที่เจ็ด     ท่านผู้มีอายุ  พระเจ้าปเสนทิโกศลจะต้องตรัสตอบอย่างนี้ จึงจะเป็นอันตรัสตอบถูกต้อง
                ปุณณ.     ท่านผู้มีอายุ  ข้อนี้ก็ฉันนั้น  สีลวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่จิตตวิสุทธิ  จิตตวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่ทิฏฐิวิสุทธิ  ทิฏฐิวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่กังขาวิตรณวิสุทธิ  กังขาวิตรณวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ  มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ  ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่ญาณทัสสนวิสุทธิ  ญาณทัสสนวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่อนุปาทาปรินิพพาน     ท่านผู้มีอายุ  ข้าพเจ้าประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพื่ออนุปาทาปรินิพพาน


กล่าวชื่นชมสุภาษิตของกันและกัน


                เมื่อท่านพระปุณณะ มันตานีบุตร กล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรจึงถามว่า  ท่านผู้มีอายุ  ท่านชื่ออะไร และพวกภิกษุเพื่อนพรหมจรรย์ รู้จักท่านว่าอย่างไร ? 
                ท่านพระปุณณะ มันตานีบุตรตอบว่า ท่านผู้มีอายุ  ข้าพเจ้าชื่อ ปุณณะ  แต่พวกภิกษุเพื่อนพรหมจรรย์ รู้จักข้าพเจ้าว่า มันตานีบุตร
                ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า  ท่านผู้มีอายุ  น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมาแล้ว  ธรรมอันลึกซึ้งอันท่านพระปุณณะ มันตานีบุตรเลือกเฟ้นมากล่าวแก้ด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง ตามเยี่ยงพระสาวกผู้ได้สดับแล้ว รู้ทั่วถึงคำสอนของพระศาสดาโดยถ่องแท้จะพึงกล่าวแก้ฉะนั้น  เป็นลาภมากของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย  ความเป็นมนุษย์อันเพื่อนพรหมจรรย์ได้ดีแล้ว ที่ได้พบเห็น นั่งใกล้ท่านพระปุณณะ มันตานีบุตร  แม้หากว่าเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายจะเทิดท่านพระปุณณะ มันตานีบุตรไว้บนศีรษะด้วยเทริดผ้า จึงจะได้พบเห็น นั่งใกล้  แม้ข้อนั้นก็นับว่าเป็นลาภมากของเธอเหล่านั้น  ความเป็นมนุษย์อันเธอเหล่านั้นได้ดีแล้ว  อนึ่ง นับว่าเป็นลาภมากของข้าพเจ้าด้วย เป็นการได้ดีของข้าพเจ้าด้วย ที่ได้พบเห็น นั่งใกล้ท่านพระปุณณะ มันตานีบุตร
                เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว  ท่านพระปุณณะ มันตานีบุตรจึงถามดังนี้ว่า  ท่านผู้มีอายุ  ท่านชื่ออะไร และเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย รู้จักท่านว่าอย่างไร ?
                ท่านพระสารีบุตรตอบว่า  ท่านผู้มีอายุ  ข้าพเจ้าชื่อ อุปติสสะ  แต่พวกเพื่อนพรหมจรรย์ รู้จักข้าพเจ้าว่า  สารีบุตร
                ท่านพระปุณณะ มันตานีบุตรกล่าวว่า  ท่านผู้เจริญ  ข้าพเจ้ากำลังพูดอยู่กับท่านผู้เป็นสาวกทรงคุณคล้ายกับพระศาสดา  มิได้ทราบเลยว่าท่านชื่อสารีบุตร  ถ้าข้าพเจ้าทราบว่าท่านคือพระสารีบุตรแล้ว  คำที่พูดไปเพียงเท่านี้คงไม่แจ่มแจ้งแก่ข้าพเจ้าได้  เป็นการน่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีมาแล้ว  ธรรมอันลึกซึ้งอันท่านพระสารีบุตรเลือกเฟ้นมาถามแล้วด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง ตามเยี่ยงพระสาวกผู้ได้สดับแล้ว รู้ทั่วถึงคำสอนของพระศาสดาโดยถ่องแท้จะพึงถามฉะนั้น  เป็นลาภมากของเพื่อนพรหมจรรย์  ความเป็นมนุษย์นับว่าเพื่อนพรหมจรรย์ได้ดีแล้ว ที่ได้พบเห็น นั่งใกล้ท่านพระสารีบุตร  แม้หากว่าเพื่อนพรหมจรรย์จะเทิดท่านพระสารีบุตรไว้บนศีรษะด้วยเทริดผ้า จึงจะได้พบเห็น นั่งใกล้  แม้ข้อนั้นก็เป็นลาภมากของเธอเหล่านั้น  ความเป็นมนุษย์นับว่าอันเธอเหล่านั้นได้ดีแล้ว  อนึ่ง นับว่าเป็นลาภมากของข้าพเจ้าด้วย เป็นการได้ดีของข้าพเจ้าด้วย ที่ได้พบเห็น นั่งใกล้พระสารีบุตร
                พระมหานาคทั้งสองนั้น ต่างชื่นชมสุภาษิตของกันและกัน ด้วยประการฉะนี้แล

                ในคราวที่พระอานนท์ท่านบวชมาใหม่ๆ ได้พบพระปุณณะ มันตานีบุตร ท่านได้แสดงกถาวัตถุ ๑๐ ประการให้พระอานนท์ฟัง จนพระอานนท์ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล   
ต่อมาภายหลังพระศาสดาประทับท่ามกลางภิกษุสงฆ์  ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เป็นธรรมกถึกว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้เป็นธรรมกถึก
ปุณณะ มันตานีบุตรนี้เป็นเลิศ ดังนี้

                ช่วงปลายชีวิตของท่าน ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าท่านปรินิพพานเมื่อไรและที่ไหน   ทราบแต่ว่าท่านปรินิพพานหลังพระพุทธเจ้า


บุพกรรมในอดีตชาติ


                ได้ยินว่า ก่อนที่พระทศพลพระนามว่าปทุมุตตระทรงอุบัติ  ท่านปุณณะบังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล กรุงหงสวดี   ในวันขนานนามท่าน  พวกญาติขนานนามว่า โคตมะ  ท่านเจริญวัยแล้วเรียนจบไตรเทพ เป็นผู้ฉลาดในศิลปศาสตร์ทั้งปวง  มีมาณพ ๕๐๐ เป็นบริวาร
ท่านพิจารณาไตรเพทดู ก็ไม่เห็นโมกขธรรมเครื่องพ้น  คิดว่า ธรรมดาไตรเพทนี้เหมือนต้นกล้วย ข้างนอกเกลี้ยงเกลา ข้างในหาสาระมิได้  การถือไตรเพทนี้เที่ยวไปก็เหมือนบริโภคแกลบ  เราจะต้องการอะไรด้วยศิลปะนี้  เราออกบวชเป็นฤๅษีทำพรหมวิหารให้บังเกิด เป็นผู้มีฌานไม่เสื่อม ก็จักเข้าถึงพรหมโลก  ดังนี้  จึงพร้อมกับมาณพ ๕๐๐ ไปยังเชิงเขา บวชเป็นฤๅษีแล้ว  ท่านมีชฎิล ๑๘,๐๐๐ เป็นบริวาร ทำอภิญญา ๕  สมาบัติ ๘  ให้บังเกิดแล้ว บอกกสิณบริกรรมแก่ชฎิลเหล่านั้นด้วย  ชฎิลเหล่านั้นตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน บำเพ็ญจนได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ทุกรูป   
เมื่อกาลเวลานานไกลล่วงไป  ในเวลาที่โคตมดาบสนั้นเป็นคนแก่  พระปทุมุตตระทศพลก็ทรงบรรลุปรมาภิสัมโพธิญาณ ทรงประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐ  มีภิกษุแสนรูปเป็นบริวาร  ทรงอาศัยกรุงหงสวดีประทับอยู่ 
วันหนึ่ง พระทศพลนั้นทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง  ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งอรหัตผลของบริษัทโคตมดาบส   และความปรารถนาของโคตมดาบส ที่ปรารถนาว่า ขอเราพึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เป็นธรรมกถึก ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้จะทรงบังเกิดในกาลภายหน้าเถิด  จึงทรงทำพระสรีรกิจแต่เช้าตรู่  ถือบาตรและจีวรด้วยพระองค์เอง เสด็จไปโดยลักษณาการที่ใครๆ ไม่รู้จัก เมื่ออันเตวาสิกของโคตมดาบสออกไปแสวงหาผลาผลในป่า ก็ไปประทับยืนที่ประตูบรรณศาลาของโคตมดาบส     
ฝ่ายโคตมดาบส แม้ไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้ว แต่เมื่อเห็นพระทศพลเสด็จมาแต่ไกล  ก็ทราบได้ว่า บุรุษผู้นี้ปรากฏขึ้น ดูน่าจะเป็นคนพ้นโลกแล้ว  เหมือนความสำเร็จแห่งสรีระของพระองค์ ซึ่งประกอบด้วยจักรลักษณะ หากครองเรือนก็จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หากออกบวชก็จักเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ผู้มีกิเลสดุจหลังคาอันเปิดแล้ว
คิดดังนี้แล้วจึงถวายอภิวาทพระทศพลโดยการพบครั้งแรกเท่านั้น ทูลว่า  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า  โปรดมาประทับทางนี้  แล้วปูลาดอาสนะถวาย
พระตถาคตประทับนั่งแสดงธรรมแก่โคตมดาบส   ขณะนั้นพวกชฎิลบริวารก็มาด้วยหมายว่า จักให้ผลาผลในป่าที่ประณีตๆ แก่อาจารย์   ส่วนที่เหลือจักบริโภคเอง  ดังนี้  เห็นพระทศพลประทับนั่งบนอาสนะสูง  แต่อาจารย์นั่งบนอาสนะต่ำ  ต่างสนทนากันว่า พวกเราคิดกันว่า ในโลกนี้ไม่มีใครที่ยิ่งกว่าอาจารย์ของเรา แต่บัดนี้ปรากฏว่าบุรุษนี้ผู้เดียวให้อาจารย์ของเรานั่งบนอาสนะต่ำ  ตนเองนั่งบนอาสนะสูง  มนุษย์ผู้นี้ทีจะเป็นใหญ่หนอ   ดังนี้  ต่างถือตะกร้าพากันเข้ามา
โคตมดาบสเกรงว่า ชฎิลเหล่านี้จะพึงไหว้เราในสำนักพระทศพล  จึงกล่าวว่า พ่อทั้งหลายอย่าไหว้เรา  บุคคลผู้เลิศในโลกพร้อมทั้งเทวโลกเป็นผู้ควรที่ท่านทุกคนพึงไหว้ได้  ท่านทั้งหลายจงไหว้บุรุษผู้นี้เถิด
ดาบสทั้งหลายคิดว่า อาจารย์ไม่รู้จริงคงไม่พูด  จึงถวายอภิวาทพระบาทแห่งพระตถาคตเจ้าหมดทุกคน  โคตมดาบสกล่าวว่า  พ่อทั้งหลาย เราไม่มีโภชนะอย่างอื่นที่สมควรถวายแด่พระทศพล  เราจักถวายผลาผลในป่านี้   จึงเลือกผลาผลที่ประณีตๆ บรรจงวางถวายไว้ในบาตรของพระพุทธเจ้า 
พระศาสดาเสวยผลาผลในป่าแล้ว  ต่อจากนั้นโคตมดาบสเองกับอันเตวาสิกจึงฉัน  พระศาสดาเสวยเสร็จแล้วทรงพระดำริว่า พระอัครสาวกทั้ง ๒ จงพาภิกษุแสนรูปมา 
ในขณะนั้นพระเทวิลเถระและพระสุชาตเถระ คู่อัครสาวก รำลึกว่า พระศาสดาเสด็จไปที่ไหนหนอ  ทราบว่าพระศาสดาทรงประสงค์ให้เราไป จึงพาภิกษุแสนรูปไปเฝ้า ถวายอภิวาทอยู่   
โคตมดาบสกล่าวกะอันเตวาสิกว่า  พ่อทั้งหลาย พวกเราไม่มีสักการะอื่น ทั้งภิกษุสงฆ์ก็ยืนอยู่ลำบาก  เราจักปูลาดบุปผาสนะถวายภิกษุสงฆ์มีพระพุทธองค์เจ้าเป็นประธาน  ท่านทั้งหลายจงไปนำเอาดอกไม้ที่เกิดทั้งบนบก ทั้งในน้ำมาเถิด  
ในทันใดนั้นเอง ดาบสเหล่านั้นจึงนำเอาดอกไม้อันสมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นมาจากเชิงเขาด้วยอิทธิฤทธิ์ ปูลาดอาสนะทั้งหลายถวายพระภิกษุสงฆ์
                ในวันที่ ๗  พระศาสดาทรงออกจากนิโรธสมาบัติ  ทรงเห็นดาบสทั้งหลายยืนล้อมอยู่ จึงตรัสเรียกพระสาวกผู้บรรลุเอตทัคคะในความเป็นพระธรรมกถึกมา ตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุ  หมู่ฤๅษีนี้ได้กระทำสักการะใหญ่  เธอจงกระทำอนุโมทนาบุปผาสนะแก่หมู่ฤๅษีเหล่านี้  
ภิกษุนั้นรับพระพุทธดำรัสแล้ว พิจารณาพระไตรปิฎก กระทำอนุโมทนา   เวลาจบเทศนาของภิกษุนั้น พระศาสดาทรงเปล่งพระสุรเสียงดุจเสียงพรหมแสดงธรรมด้วยพระองค์เอง  เมื่อจบพระธรรมเทศนา นอกจากโคตมดาบสแล้ว ชฎิล ๑๘,๐๐๐ รูปที่เหลือได้บรรลุพระอรหัต
ส่วนโคตมดาบสไม่อาจตรัสรู้ธรรมได้นั้นในชาตินั้น จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุผู้ที่แสดงธรรมก่อนนี้ เป็นอะไรในศาสนาของพระองค์  
พระศาสดาตรัสว่า โคตมดาบส ภิกษุนี้เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เป็นธรรมกถึกในศาสนาของเรา 
โคตมดาบสหมอบแทบบาทมูล กระทำความปรารถนาว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ด้วยผลแห่งบุญกุศลที่ข้าพระองค์ทำมา ๗ วันนี้  ข้าพระองค์พึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เป็นธรรมกถึกในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต เหมือนดังภิกษุรูปนี้เถิด
พระศาสดาทรงตรวจดูอนาคตกาล  ก็ทรงทราบว่าความปรารถนาของโคตมดาบสนั้นสำเร็จโดยหาอันตรายมิได้ จึงทรงพยากรณ์ว่า
ในที่สุดแห่งแสนกัปในอนาคตกาล  พระพุทธเจ้าพระนามว่า โคดม จักทรงอุบัติขึ้น  ท่านจักเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เป็นธรรมกถึกในศาสนาของพระองค์ 
แล้วตรัสแก่ดาบสผู้บรรลุพระอรหัตว่า   เอถ   ภิกขโว  จงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้  ดาบสทุกรูปมีผมและหนวดอันตรธานไป ทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์  มีลักษณะดังพระเถระ ๑๐๐ พรรษา
พระศาสดาทรงพาภิกษุสงฆ์เสด็จกลับพระวิหาร  ฝ่ายโคตมดาบสก็บำรุงพระตถาคตจนตลอดชีวิต  บำเพ็ญแต่กัลยาณกรรมตามกำลัง เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์นานถึงแสนกัป   ครั้นมาถึงศาสนาของพระผู้มีพระภาคของเรา จึงมาเกิดเป็นพระปุณณะ มันตานีบุตร พระอรหันต์ผู้เป็นยอดพระธรรมกถึกนี้แล

No comments:

Post a Comment