Saturday, August 13, 2011

17.พระอานนท์


พระอานนท์

                พระอานนทเถระเป็นพุทธุปัฏฐากของพระมหาสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นพระโอรสของพระเจ้า อมิโตทนศากยราช  พระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช พระพุทธบิดา
                ในเรื่องพระบิดาของท่าน  มีหลักฐานบางแห่งขัดแย้งกันอยู่ เช่น  อรรถกถาอังคุตตรนิกาย  อรรถกถาธรรมบท  และอรรถกถาพุทธวงศ์  กล่าวว่า  พระเจ้าอมิโตทนะเป็นพระบิดาของพระเจ้ามหานามะและพระอนุรุทธะ
                ใน มหาวัสตุ  และพุทธประวัติพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส  กล่าวว่าท่านเป็นพระโอรสของพระเจ้า สุกโกทนะ  ส่วนพระเจ้าอมิโตทนะเป็นพระบิดาของพระเจ้ามหานามะและพระอนุรุทธะ
                แต่ในอรรถกถามัชฌิมนิกาย  กล่าวว่า พระเจ้าสุกโกทนะเป็นพระบิดาของพระเจ้ามหานามะและพระอนุรุทธะ
                จากหลักฐานต่างๆ ดังกล่าวแล้ว ไม่ได้กล่าวว่าพระมารดาของท่านเป็นใคร  มหาวัสตุแห่งเดียวเท่านั้นที่กล่าวถึงพระมารดาของท่านว่าทรงพระนามว่า มฤคี
                อรรถกถาให้เหตุผลว่า ที่ท่านมีชื่อว่า อานนท์ ก็เพราะว่าเมื่อท่านประสูติ พระญาติทั้งหลายพากันสดชื่นรื่นเริงบันเทิงใจยิ่ง
                ว่าโดยทางเชื้อสาย พระอานนท์เป็นพระภาดา (น้องชาย คือลูกพี่ลูกน้อง) ของพระพุทธเจ้า และเป็นสหชาติกับพระพุทธองค์ด้วย  ผู้เป็นสหชาติกับพระพุทธเจ้า คือ . พระนางพิมพา ราหุลมาตา  . ฉันนอมาตย์  . กาฬุทายีอมาตย์  . พระอานนท์  . กันถกอัสสราช  . ต้นมหาโพธิ์  . ขุมทรัพย์สี่ทิศ
                เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงสละราชสมบัติเสด็จออกทรงผนวชและได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว  เสด็จไปโปรดพระพุทธบิดาและพระประยูรญาติ    นครกบิลพัสดุ์  ในพรรษาที่ ๒  ขณะที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่พระนครกบิลพัสดุ์นั้นได้มีพระญาติหลายองค์ออกทรงผนวชตามเสด็จ  ยังเหลือแต่ศากยกุมารเหล่านี้คือ  พระมหานามะ  พระอนุรุทธะ  พระภัททิยะ  พระภัคคุ  พระกิมพิละ  พระอานนท์  และ พระเทวทัต  ครั้นพระพุทธองค์ประทับอยู่พอสมควรแก่กาลแล้วก็เสด็จจาริกต่อไปยังที่อื่น

ออกบวช


                เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จจากพระนครกบิลพัสดุ์ไปแล้ว  พวกศากยะทั้งหลายได้วิพากษ์วิจารณ์กันว่า  พวกท่านได้ให้โอรสของตนๆ ซึ่งมอบถวายให้เป็นเพื่อนเล่นของเจ้าชายสิทธัตถะในคราวทำพิธีขนานพระนามนั้น ออกผนวชตามเสด็จได้  แต่ศากยกุมารเหล่านี้ชะรอยจะไม่ใช่เป็นพระญาติกับพระพุทธเจ้ากระมังจึงไม่ออกผนวชตามเสด็จ  พระมหานามะได้สดับคำวิพากษ์วิจารณ์นี้แล้วทรงรู้สึกละอาย  จึงได้ปรึกษาพระอนุรุทธะว่า ในท่านทั้งสองนั้นต้องออกผนวชองค์หนึ่ง  ในที่สุดแห่งการสนทนา พระอนุรุทธะยอมออกผนวชตามเสด็จ จึงไปทูลลาพระมารดา  แต่พระมาดราไม่ทรงอนุญาต  ท่านได้ทูลอ้อนวอนจนพระมารดาทรงอนุญาต  แต่ทรงวางเงื่อนไขไว้ว่า  หากพระเจ้าภัททิยะศากยราช พระสหายของท่านออกผนวชด้วย  พระนางจึงจะทรงอนุญาต  พระอนุรุทธะได้พยายามชักชวนพระเจ้าภัททิยะจนตกลงพระทัยออกผนวชด้วยกัน ต่อจากนั้น ท่านได้ชักชวนศากยกุมารอีก ๕ องค์ มีพระอานนท์เป็นต้น  รวมทั้งอุบาลีอมาตย์ผู้เป็นภูษามาลาด้วย เป็น ๗ คน  ได้ตามเสด็จพระพุทธองค์ไปเพื่อขอบรรพชาอุปสมบท  และได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคที่อนุปิยอัมพวัน เขตอนุปิยนิคม แคว้นมัลละ  พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้บรรพชาอุปสมบทตามประสงค์  ต่อมาเมื่อมีพระพุทธานุญาตหรือพุทธบัญญัติให้ภิกษุต้องมีพระอุปัชฌาย์ คือพระเถระที่คอยดูแลผู้บวชใหม่ ปรากฏว่าพระอุปัชฌายะของท่านพระอานนท์ชื่อ พระเวลัฏฐสีสเถระ
                ครั้นอุปสมบทแล้ว ท่านพระอานนท์ได้ศึกษาธรรมจากสำนักของท่านพระปุณณะ มันตานีบุตร  ไม่นานก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน  ในกาลต่อมาท่านได้เล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า  ท่านพระปุณณะ มันตานีบุตร มีอุปการคุณต่อท่านและพวกภิกษุผู้นวกะมาก  ท่านพระปุณณะ มันตานีบุตร ได้กล่าวสอนท่านว่า 

ดูก่อนอานนท์  เพราะถือมั่นจึงมีตัณหา  มานะ  ทิฐิ  ว่าเป็นเรา  เพราะไม่ถือมั่นจึงไม่มีตัณหา  มานะ  ทิฐิ ว่าเป็นเรา 
เพราะถือมั่นรูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  จึงมีตัณหา  มานะ  ทิฐิ ว่าเป็นเรา  เพราะไม่ถือมั่นรูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ จึงไม่มีตัณหา  มานะ  ทิฐิ ว่าเป็นเรา 
เปรียบเหมือนสตรีหรือบุรุษรุ่นหนุ่มสาว มีนิสัยชอบแต่งตัว ส่องดูเงาของตนที่กระจกหรือที่ภาชนะน้ำอันใสบริสุทธิ์ผุดผ่อง  เพราะยึดถือจึงเห็น  เพราะไม่ยึดจึงไม่เห็น  ฉันใด  เพราะถือมั่นรูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  จึงมีตัณหา  มานะ  ทิฐิ ว่าเป็นเรา  เพราะไม่ถือมั่นรูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  จึงไม่มีตัณหา  มานะ  ทิฐิ ว่าเป็นเรา  ฉันนั้นเหมือนกัน

                จากนั้น ท่านพระอานนท์เล่าต่อไปว่า  ท่านพระปุณณะ มันตานีบุตรได้ถามท่านว่า  รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  เที่ยงหรือไม่เที่ยง    ท่านตอบว่าไม่เที่ยง  และในตอนสุดท้ายของการสอนธรรมครั้งนี้  ท่านบอกแก่พระภิกษุทั้งหลายว่าท่านได้ตรัสรู้ธรรม  ซึ่งหมายถึงได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน
                เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่ที่อนุปิยอัมพวันแห่งมัลลรัฐพอสมควรแก่พระอัธยาศัยแล้ว ก็ได้เสด็จจาริกต่อไปยังกรุงโกสัมพี  ท่านพระอานนท์และพระภิกษุศากยะรูปอื่นๆ ที่ผนวชพร้อมกับท่านก็ตามเสด็จไปด้วย  ปรากฏว่าประชาชนชาวเมืองโกสัมพีนิยมนับถือท่านมากเช่นเดียวกับพระมหาเถระรูปอื่นๆ  ซึ่งเป็นเหตุให้พระเทวทัตเกิดริษยาเพราะตนเองไม่มีใครถามถึงเลย

รับตำแหน่งพุทธุปัฏฐาก

                พระอรรถกถาจารย์ได้เล่าไว้ว่า  ในสมัยปฐมโพธิกาลนั้น พระพุทธเจ้าหาได้มีพระภิกษุผู้อุปัฏฐากเป็นประจำไม่  บางคราวพระนาคสมาละ (นาคสุมนะ) เป็นผู้ถือบาตรและจีวรของพระพุทธองค์ในคราวเสด็จจาริกไปโปรดสัตว์  บางคราวพระนาคิตะ บางคราวพระอุปวาณะ  บางคราวพระสุนักขัตตะ  บางคราวสามเณรจุนทะ  บางคราวพระสาคตะ  บางคราวพระราธะ  บางคราวพระเมฆิยะ  เป็นอยู่อย่างนี้เป็นเวลา ๒๐ พรรษา
                การที่พระผู้มีพระภาคไม่ทรงมีพุทธุปัฏฐากเป็นประจำนี้ ได้ก่อให้เกิดความลำบากแก่พระองค์มาหลายครั้ง  ดังเช่นครั้งหนึ่ง พระนาคสมาละเป็นผู้อุปัฏฐากพระองค์  ครั้งนั้นพระองค์ได้เสด็จทางไกลไปถึงทาง ๒ แพร่ง  ท่านพระนาคสมาละหลีกลงจากทาง ทูลว่าท่านจะไปทางนี้  พระองค์ตรัสว่า พระองค์จะเสด็จไปอีกทางหนึ่ง  ขอให้พระนาคสมาละไปทางเดียวกับพระองค์  แต่ท่านไม่ยอม  กราบทูลว่าท่านจะไปตามทางของท่าน  ขอให้พระองค์ทรงรับเอาบาตรจีวรของพระองค์ไป  แล้วท่านได้วางบาตรและจีวรของพระพุทธเจ้าไว้บนพื้นดิน  เดินจากไปแต่ลำพัง  พระพุทธเจ้าจึงต้องถือบาตรและจีวรเสด็จไปแต่ลำพังพระองค์เดียว
                อีกครั้งหนึ่ง พระเมฆิยะเป็นอุปัฏฐาก  ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคได้เสด็จจาริกไปยังชันตุคาม เขตปาจีนวังสะ กับพระเมฆิยะ  ครั้นพระองค์เสด็จไปถึงที่นั้นแล้ว ท่านพระเมฆิยะได้เข้าไปบิณฑบาตในชันตุคาม  ได้เห็นสวนมะม่วงอันร่มรื่นน่ารื่นรมย์แห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำ  ท่านต้องการจะไปพักผ่อนในสวนนั้น จึงได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงรับบาตรและจีวรของพระองค์ไป และทูลว่าท่านจะไปบำเพ็ญสมณธรรมที่สวนมะม่วงนั้น  พระพุทธองค์ตรัสห้ามไว้ถึง ๓ ครั้ง เพราะไม่มีพระภิกษุอื่นเลยในที่นั้น  ทรงขอให้ท่านรอไปก่อนจนกว่าจะมีพระภิกษุรูปอื่นมาแทน  แต่ท่านก็ไม่ยอม  ได้ละทิ้งพระองค์ไว้แต่ลำพังพระองค์เดียว
                ด้วยเหตุนี้ ในพรรษาที่ ๒๐ แต่ตรัสรู้  สมัยที่ประทับอยู่    พระเชตวันมหาวิหาร  กรุงสาวัตถี  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระภิกษุทั้งปวงในที่นั้นว่า  พระองค์ทรงพระชราแล้ว  ภิกษุบางรูปทอดทิ้งพระองค์ไปตามทางที่ตนปรารถนา  บางรูปวางบาตรจีวรของพระองค์ไว้บนพื้นดินแล้วเดินจากไปเสีย  จึงขอให้พระสงฆ์เลือกพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งขึ้นเป็นพุทธุปัฏฐากประจำ
                พระภิกษุทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว  ต่างรู้สึกสังเวช สลดใจไปตามๆ กัน  ทันใดนั้นเองท่านพระสารีบุตรได้ลุกขึ้นอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วทูลขอรับอาสาเป็นพุทธุปัฏฐากประจำ  แต่พระองค์ทรงห้ามไว้ว่า อย่าเลยสารีบุตร  เธออยู่    ทิศใด  ทิศนั้นไม่สูญเปล่า  โอวาทของเธอเหมือนกับโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  เธออย่าทำกิจอุปัฏฐากแก่เราเลย
                ต่อจากนั้น  พระอสีติมหาสาวกทั้งหลายมีท่านพระมหาโมคคัลลานะเป็นต้นได้ลุกขึ้นอภิวาทแล้วทูลขอรับอาสาเป็นพุทธุปัฏฐากเช่นเดียวกับท่านพระสารีบุตร แต่พระองค์ทรงห้ามไว้ทั้งหมด  ส่วนท่านพระอานนท์ยังคงนั่งนิ่งเฉย มิได้ทูลขอรับอาสาอย่างพระมหาสาวกทั้งหลาย  พวกภิกษุจึงได้ตักเตือนให้ท่านทูลขอตำแหน่งพุทธุปัฏฐากนั้นบ้าง  ท่านจึงกล่าวกับพระภิกษุทั้งหลายว่า 
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย อันตำแหน่งที่ขอได้มานั้นจะมีความหมายอะไรเล่า  พระบรมศาสดาไม่ทรงเห็นกระผมกระนั้นหรือ ?  ก็หากพระองค์ทรงพอพระทัยในตัวกระผมแล้วไซร้ พระองค์ก็คงตรัสเองว่า  อานนท์ เธอจงอุปัฏฐากเราเถิด
                พระผู้มีพระภาคตรัสกับพระภิกษุทั้งหลายว่า  ไม่มีผู้ใดจะสามารถให้ท่านพระอานนท์เกิดความอุตสาหะขึ้นมาได้เลย แต่เมื่อท่านพระอานนท์รู้แล้วท่านจักอุปัฏฐากพระองค์เอง
                เมื่อพระภิกษุทั้งหลายได้ยินพระดำรัสนั้นก็ทราบทันทีว่า พระองค์ทรงประสงค์ให้ท่านพระอานนท์เป็นพุทธุปัฏฐาก  จึงได้พูดตักเตือนให้ท่านทูลขอตำแหน่งพุทธุปัฏฐากจากพระองค์
                ดังนั้น ท่านพระอานนท์จึงได้ทูลขอพร ๘ ประการ  หากพระองค์ทรงประทานพร ๘ ประการนี้ ท่านจึงจะรับตำแหน่งพุทธุปัฏฐาก   ท่านทูลขอพรว่า
                ๑. ถ้าจักไม่ประทานจีวรอันประณีตที่พระองค์ได้แล้วแก่ข้าพระองค์
                ๒. ถ้าจักไม่ประทานบิณฑบาตอันประณีตที่พระองค์ได้แล้วแก่ข้าพระองค์
                ๓. ถ้าจักไม่โปรดให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับของพระองค์
                ๔. ถ้าจักไม่ทรงพาข้าพระองค์ไปในที่ที่ทรงรับนิมนต์ไว้
                ๕. ถ้าพระองค์จักไปสู่ที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้
                ๖. ถ้าข้าพระองค์จะพาบริษัทซึ่งมาแต่ที่ไกลเข้าเฝ้าพระองค์ได้ในขณะที่มาแล้ว
                ๗. ถ้าความสงสัยของข้าพระองค์เกิดขึ้นเมื่อใด ขอให้ได้เข้าเฝ้าทูลถามเมื่อนั้น
                ๘. ถ้าพระองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาอันใดในที่ลับหลังข้าพระองค์ จักเสด็จมาตรัสบอกพระธรรมเทศนานั้นแก่ข้าพระองค์อีก
                เมื่อข้าพระองค์ได้รับพร ๘ ประการนี้แหละ จึงจักเป็นพุทธุปัฏฐากของพระองค์

                พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามถึงโทษและอานิสงส์ที่ทูลขอพร ๘ ประการนี้ ท่านได้กราบทูลว่า 
ถ้าท่านไม่ทูลขอพรข้อ ๑ - ๔  ก็จักมีคนพูดได้ว่า ท่านรับตำแหน่งพุทธุปัฏฐากเพื่อหวังลาภสักการะอย่างนั้นๆ  เพื่อป้องกันปรวาทะอย่างนั้นท่านจึงได้ทูลขอพร ๔ ข้อนี้ 
ถ้าท่านไม่ทูลขอพรข้อ ๕ - ๗  ก็จักมีคนพูดได้ว่า พระอานนท์บำรุงพระศาสดาไปทำไม เพราะกิจเท่านี้พระองค์ก็ยังไม่ทรงสงเคราะห์เสียแล้ว 
และหากท่านไม่ทูลขอพรข้อ ๘ เมื่อมีคนมาถามท่านลับหลังพระพุทธองค์ว่า  คาถานี้  สูตรนี้  ชาดกนี้  พระผู้มีพระภาคตรัสที่ไหน ?  ถ้าท่านตอบเขาไม่ได้  เขาก็จะพูดได้ว่า พระอานนท์เฝ้าติดตามพระผู้มีพระภาคเหมือนเงาตามตัวอยู่เป็นเวลานาน ทำไมเรื่องเท่านี้ยังไม่รู้
                ครั้นท่านได้ทูลชี้แจงแสดงโทษในข้อที่ไม่ควรได้ และอานิสงส์ในข้อที่ควรได้อย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคจึงทรงประทานพรตามที่ทูลขอทุกประการ  ท่านพระอานนท์จึงได้รับตำแหน่งพุทธุปัฏฐาก และได้อุปัฏฐากพระพุทธองค์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนถึงวันเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค เป็นเวลา ๒๕ พรรษา

ตั้งความปรารถนาตำแหน่งพุทธุปัฏฐากในอดีตชาติ

                ความจริงท่านพระอานนท์ได้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้ตำแหน่งนี้มาเป็นเวลาตั้งแสนกัป  คือเริ่มตั้งแต่ศาสนาของพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า  ในชาตินั้นท่านได้เกิดในพระนครหงสวดี เป็นโอรสของพระเจ้านันทราช (อานันทราช) และพระนางสุเมธาเทวี (สุชาดา) ผู้ครองนครหงสวดี  สมัยนั้นท่านมีนามว่า สุมนกุมาร เป็นพระกนิษฐภาดาของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า  ครั้นเจริญวัยขึ้น พระบิดาทรงมอบหมายให้ปกครองโภคคามซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลออกไปจากนครหงสวดี ๑๒๐ โยชน์  พระกุมารได้เสด็จกลับไปยังนครหงสวดีเพื่อเฝ้าพระบิดาและพระพุทธเจ้าบ้างเป็นครั้งคราว
                ครั้งหนึ่งมีกบฏเกิดขึ้นที่ปัจจันตชนบท  พระกุมารทรงปราบปรามได้โดยราบคาบ  เมื่อความทราบไปถึงพระบิดา ก็ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยมาก  รับสั่งให้เรียกพระกุมารไปยังนครหงสวดีทันที  เมื่อพระกุมารเสด็จไปเฝ้า พระบิดาทรงประคองกอดแล้วรับสั่งให้ขอพรตามที่ต้องการ  แทนที่พระกุมารจะทูลขอช้าง  ม้า  ชนบท  หรือรัตนะ ๗ ประการ ตามที่พวกอำมาตย์ทูลแนะ  พระกุมารกลับทูลขอโอกาสอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๓ เดือน  พระบิดารับสั่งให้ขออย่างอื่น เพราะการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเป็นหน้าที่ของพระองค์แต่ผู้เดียว  ไม่เคยทรงอนุญาตให้ใคร  แต่พระกุมารทูลยืนยันจะได้รับพรอย่างเดิม  หากไม่พระราชทานพรอันนั้นก็ไม่ทูลขออย่างอื่น  และทูลว่า ธรรมดาพระดำรัสของพระมหากษัตริย์ย่อมไม่เป็น ๒ 
เมื่อพระบิดาได้สดับดังนั้นก็ทรงจำนนด้วยเหตุผล  แต่ตรัสบ่ายเบี่ยงว่า  ธรรมดาน้ำพระทัยของพระพุทธเจ้ารู้ได้ยาก แม้พ่อจะอนุญาตแล้วก็ตาม  หากพระพุทธองค์ไม่ทรงปรารถนาก็ไม่รู้จักทำอย่างไรได้  
พระกุมารทูลรับว่า พระองค์จักรู้น้ำพระทัยของพระผู้มีพระภาคเอง  ทูลแล้วได้เสด็จไปสู่พระวิหาร  แต่ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคกำลังประทับอยู่ในพระคันธกุฎี  ดังนั้นพระกุมารจึงเสด็จไปหาพระภิกษุสงฆ์ที่กำลังนั่งประชุมกันอยู่ที่โรงกลม  ทรงแจ้งพระประสงค์จะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค   พระภิกษุสงฆ์ทูลแนะนำให้เสด็จไปหาพระสุมนเถระผู้เป็นพุทธุปัฏฐาก
               เมื่อพระกุมารเสด็จเข้าไปหาพระเถระ และทรงแจ้งพระประสงค์ของพระองค์ถวายพระสุมนเถระแล้ว  พระเถระเข้าฌานมีอาโปกสิณเป็นอารมณ์ แล้วแทรกแผ่นดินเข้าไปสู่พระคันธกุฎี กราบทูลพระพุทธองค์ว่าพระราชกุมารมาเฝ้า  พระพุทธองค์ตรัสใช้ให้พระสุมนเถระออกไปปูอาสนะภายนอกพระคันธกุฎี  พระเถระจึงแทรกแผ่นดินนำพุทธอาสน์ออกไปปูลาดภายนอกพระคันธกุฎี 
พระกุมารได้ทอดพระเนตรเห็นพระเถระดำดินเข้าออกเช่นนั้นก็ทรงเห็นเป็นอัศจรรย์  ทรงคิดว่าภิกษุรูปนี้ใหญ่ยิ่งจริงหนอ
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จออกจากพระคันธกุฎี ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์แล้ว  พระกุมารถวายนมัสการกราบทูลถามว่า  พระภิกษุรูปนี้เห็นจะเป็นภิกษุที่พระองค์ทรงโปรดปรานมากกระมัง ?  พระพุทธองค์ตรัสตอบรับว่า เป็นอย่างนั้น  พระกุมารทูลถามต่อไปว่า  พระภิกษุรูปนี้ได้ทำกรรมอะไรไว้จึงได้มาเป็นภิกษุที่โปรดปรานอย่างนี้  พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ภิกษุรูปนี้ได้ทำบุญให้ทานไว้มาก  พระกุมารจึงกราบทูลว่า ท่านเองก็ปรารถนาจะได้รับตำแหน่งภิกษุที่พระพุทธเจ้าทรงโปรดปรานอย่างนั้นบ้างในอนาคตกาล  แล้วได้ถวายขันธวารภัต (แปลตามศัพ์ว่า ภัตตาหารเพื่อการตั้งค่าย หรือภัตตาหารที่เกิดขึ้นเพราะการตั้งค่าย) สิ้น ๗ วัน ในวันที่ ๗ ได้กราบทูลเล่าเรื่องที่พระเจ้านันทราชพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ท่านปฏิบัติรับใช้พระพุทธองค์ได้ ๓ เดือน และกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จไปประทับจำพรรษา   โภคคาม กับท่านเป็นเวลา ๓ เดือน 
เมื่อทรงทราบว่าพระพุทธองค์ทรงรับแล้ว  จึงกราบทูลว่า ท่านเองจะเสด็จไปก่อนเพื่อสร้างพระวิหารเตรียมรับเสด็จ  เมื่อสร้างเสร็จแล้วท่านจะส่งข่าวมาถวาย แล้วให้พระพุทธองค์เสด็จไปพร้อมกับพระภิกษุหนึ่งแสนรูป 
เมื่อได้กราบทูลนัดแนะเสร็จแล้วก็ทูลลากลับเข้าสู่พระราชวัง  กราบทูลพระบิดาว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว  เมื่อท่านส่งข่าวมาก็ขอให้พระบิดาช่วยกราบทูลเชิญเสด็จด้วย  พระเจ้านันทราชก็ทรงรับรองเป็นอันดี 
ครั้นแล้ว พระกุมารก็กราบทูลลาพระบิดาเสด็จไปยังโภคคาม  ให้สร้างวิหารไว้ในระหว่างทางห่างกัน ๑ โยชน์ต่อหลัง  สิ้นระยะทาง ๑๒๐ โยชน์  เป็นวิหาร ๑๒๐ หลัง เพื่อให้พระผู้มีพระภาคทรงพักอาศัยในคราวเสด็จไปสู่โภคคาม 
เมื่อพระกุมารเสด็จไปถึงโภคคามแล้ว ก็ได้ทรงแสวงหาสถานที่ที่จะสร้างวิหาร  ทรงเห็นอุทยานของโสภณกุฎุมพี จึงทรงขอซื้อด้วยเงินหนึ่งแสน  ต่อจากนั้นทรงสร้างพระคันธกุฎีสำหรับพระพุทธเจ้า  สร้างที่พักกลางวันที่พักกลางคืนสำหรับพระภิกษุสงฆ์  สร้างลานกุฏิ  กำแพง  ประตู  และซุ้มประตู  เมื่อทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จแล้วจึงได้ส่งข่าวไปทูลพระบิดาให้อาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังโภคคามได้
                พระเจ้านันทราชได้ทรงอังคาสพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลให้เสด็จไปยังโภคคามตามที่พระกุมารทูลนิมนต์ไว้  พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์หนึ่งแสนรูปเสด็จไปยังโภคคาม และทรงพักตามวิหารรายทางจนถึงโภคคาม  พระกุมารได้เสด็จออกไปรับเสด็จเป็นระยะทาง ๑ โยชน์  ทรงบูชาด้วยดอกไม้ของหอมหลายอย่าง และนำเสด็จเข้าสู่โสภณวิหาร  กราบทูลถวายพระวิหารนั้นเป็นพุทธบูชา
                ครั้นต่อมา เวลาใกล้วันเข้าพรรษา  พระกุมารได้ถวายมหาทานและได้ทรงชักชวนพระโอรส พระชายา และพวกอมาตย์ให้ถวายทานอย่างพระองค์บ้างตลอดเวลา ๓ เดือน  พระกุมารได้ทรงอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าอยู่เป็นประจำ และได้เสด็จไปหาท่านพระสุมนเถระเสมอๆ  ครั้นออกพรรษาปวารณาแล้ว จึงเสด็จกลับสู่พระราชนิเวศน์และได้ถวายมหาทานอีก ๗ วัน  ในวันที่ ๗ ได้ถวายจีวรแก่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์แล้วทรงตั้งมโนปณิธานว่า 
ด้วยเดชะกุศลกรรมที่ได้บำเพ็ญมาทั้งหมดนี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นพุทธุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตกาลอย่างเช่นพระสุมนเถระนั้นเถิด 
พระปทุมุตตรพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ความปรารถนานั้นจะสำเร็จดังประสงค์ แล้วเสด็จจาริกบำเพ็ญพุทธกิจ   ที่อื่นต่อไป
                ในศาสนาของพระปทุมุตตรพุทธเจ้านี้  ท่านพระอานนท์ได้เคยถวายทานเป็นเวลาหนึ่งแสนปี  ครั้นจุติจากชาตินั้นได้ไปเกิดในสวรรค์  จุติจากสวรรค์ลงมาเกิดในมนุษยโลก  ในศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้าก็ได้ถวายจีวร ทำการบูชาพระเถระผู้เที่ยวบิณฑบาตรูปหนึ่ง  ครั้นจุติจากชาตินั้นก็ได้ไปเกิดในสวรรค์อีก และเมื่อจุติจากสวรรค์ได้ลงมาเกิดเป็นพระเจ้าพาราณสี ได้ถวายมหาทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์  ทรงสร้างบรรณศาลา ๘  หลังในมงคลอุทยานของพระองค์ ถวายให้เป็นที่ประทับของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๘ องค์  นอกจากนั้นยังได้สร้างตั่ง ๘ ตัว ทำด้วยรัตนะล้วนทุกชนิด  สร้างเตียง ๔ ตัว ทำด้วยแก้วมณี  และที่รองรับเท้า ๘ ที่ ทำด้วยแก้วมณี สำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้าประทับนั่งในคราวเสด็จมา  พระองค์ได้ทรงอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นเวลาหมื่นปี
                ท่านพระอานนท์ได้เคยทำบุญให้ทานอยู่เป็นเวลาหนึ่งแสนกัป  ในชาติก่อนที่จะลงมาเกิดในชาตินี้  ได้เคยไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตร่วมกับพระพุทธเจ้าของเราครั้งเป็นพระโพธิสัตว์อยู่  ครั้นจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตก็ได้มาเกิดในศากยตระกูล ดังกล่าวแล้ว
                นี่แสดงให้เห็นว่า  ท่านพระอานนท์ได้รับตำแหน่งที่ตนปรารถนาสำเร็จแล้ว  และเมื่อได้รับตำแหน่งแล้วท่านก็ได้อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดี 

ยอดพุทธอุปัฏฐาก


กิจที่ท่านพระอานนท์ทำเป็นประจำแก่พระพุทธเจ้า คือ
                ๑. ถวายน้ำ ๒ อย่าง คือน้ำเย็นและน้ำร้อน
                ๒. ถวายไม้สีฟัน  ๓ ขนาด
                ๓. นวดพระหัตถ์และพระบาท
                ๔. นวดพระปฤษฎางค์
                ๕. ปัดกวาดพระคันธกุฎีและบริเวณพระคันธกุฎี
ในตอนกลางคืน ท่านกำหนดเวลาได้ว่า เวลานี้พระพุทธองค์ทรงมีพุทธประสงค์สิ่งใดอย่างใดแล้วจึงเข้าเฝ้า  เมื่อเฝ้าเสร็จก็ออกมาอยู่ยาม   ภายนอกพระคันธกุฎี  ในคืนหนึ่งๆ ท่านถือประทีปด้ามใหญ่เวียนรอบบริเวณพระคันธกุฎีถึง ๘ ครั้ง  ท่านคิดว่าหากท่านง่วงนอน เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเรียก ท่านจะไม่สามารถขานรับได้  ฉะนั้นจึงไม่ยอมวางประทีปตลอดทั้งคืน
                ท่านพระพุทธโฆสาจารย์ได้กล่าวยกย่องท่านพระอานนท์ไว้ว่า ท่านขยันในการอุปัฏฐากมาก ในบรรดาพระภิกษุผู้เคยอุปัฏฐากพระพุทธเจ้ามาแล้ว ไม่มีใครทำได้เหมือนท่าน เพราะพระภิกษุเหล่านั้นไม่รู้พระทัยของพระพุทธองค์ดี จึงอุปัฏฐากได้ไม่นาน  ด้วยเหตุนี้ ในคราวที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ได้ตรัสกับท่านว่า 

อานนท์  เธอได้อุปัฏฐากตถาคตด้วยกายกรรม  วจีกรรม  มโนกรรม  อันประกอบด้วยเมตตา ซึ่งเป็นประโยชน์เกื้อกูล  เป็นความสุข  ไม่มีสอง  หาประมาณมิได้ มาช้านานแล้ว  เธอได้ทำบุญไว้มากแล้ว  อานนท์  เธอจงประกอบความเพียรเถิด จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะโดยฉับพลัน

          แล้วตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าใด ที่มีมาแล้วในอดีตกาล  ภิกษุผู้เป็นอุปัฏฐากของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ที่เป็นอย่างยอดยิ่งก็เหมือนกับอานนท์ของเราเท่านั้น  พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าใด ที่จักมีอนาคตกาล  ภิกษุผู้เป็นอุปัฏฐากของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ที่จะเป็นอย่างยอดยิ่งก็เท่ากับอานนท์ของเราเท่านั้น  อานนท์เป็นบัณฑิต ย่อมรู้ว่า นี่เป็นกาลเพื่อจะเข้าเฝ้าพระตถาคต  นี่เป็นกาลของพวกภิกษุ  นี่เป็นกาลของพวกภิกษุณี  นี่เป็นกาลของพวกอุบาสก  นี่เป็นกาลของพวกอุบาสิกา  นี่เป็นกาลของพระราชา  นี่เป็นกาลของพวกอำมาตย์ราชเสวก  นี่เป็นกาลของพวกเดียรถีย์  นี่เป็นกาลของพวกสาวกของพวกเดียรถีย์

                ท่านพระพุทธโฆสาจารย์ยังกล่าวไว้ว่า  นอกจากท่านพระอานนท์จะขยันในการอุปัฏฐากแล้ว ท่านพระอานนท์ยังเป็นผู้ขยันในการศึกษาเล่าเรียน ขยันในการท่อง ขยันในการจำ ขยันในการทรงไว้อีกด้วย
                ในเรื่องการทรงจำนั้น ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ได้เล่าไว้ว่า  ท่านพระอานนท์มีปัญญา  มีความจำดี  ท่านได้ฟังครั้งเดียว ไม่ต้องถามอีก ก็สามารถจำได้เป็นจำนวนตั้ง ๖๐,๐๐๐ บาท ๑๕,๐๐๐ คาถา  โดยไม่เลอะเลือน  ไม่คลาดเคลื่อน  เหมือนบุคคลเอาเถาวัลย์มัดดอกไม้ถือไป  เหมือนจารึกอักษรลงบนแผ่นศิลา  เหมือนน้ำมันใสของราชสีห์ที่บุคคลใส่ไว้ในหม้อทองคำ ฉะนั้น


เกียรติคุณพระอานนท์

                ด้วยเหตุที่ท่านขยันเรียนและมีความจำดีนี่เอง  ท่านจึงได้รับยกย่องว่าเป็นพหูสูต  เป็นธรรมภัณฑาคาริก  ทรงจำพระพุทธพจน์ได้ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์  คือท่านเรียนจากพระพุทธองค์ ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และเรียนจากเพื่อนสหธรรมิกอีก ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์  แม้ท่านจะเป็นเพียงพระโสดาบันก็ตาม แต่ท่านก็มีปัญญาแตกฉานในปฏิสัมภิทา  มีความรู้เชี่ยวชาญในเรื่องปฏิจจสมุปบาท  จึงสามารถสั่งสอนศิษย์ได้มากมาย  ศิษย์ของท่านส่วนมากก็เป็นพหูสูตเช่นเดียวกับท่าน  ว่ากันว่าท่านพูดได้เร็วกว่าคนธรรมดา ๘ เท่า  คือเวลาที่คนธรรมดาพูด ๑ คำ ท่านพูดได้ ๘ คำ
                ท่านพระพุทธโฆสาจารย์ได้พรรณนาคุณของท่านพระอานนท์ไว้อีกอย่างหนึ่งว่า  ท่านมีรูปงาม  น่าเลื่อมใส  น่าทัศนายิ่งนัก  ยิ่งเป็นพหูสูตด้วย ก็ยิ่งทำให้สังฆมณฑลนี้งดงามยิ่งขึ้น  ด้วยเหตุนี้จึงมีบริษัททั้ง ๔ นิยมไปหาท่านกันมาก  ข้อนี้สมจริงดังพระดำรัสที่ตรัสยกย่องท่านว่า  ท่านมีอัพภูตธรรม คือคุณอันน่าอัศจรรย์    ประการ  คือ  ถ้าภิกษุบริษัท ภิกษุณีบริษัท อุบาสกบริษัท และอุบาสิกาบริษัท เข้าไปหาท่าน  พอได้เห็นรูปเท่านั้นก็มีความยินดี  พอได้ฟังธรรมเทศนาของท่านก็ยิ่งมีความยินดี  แม้เมื่อท่านแสดงธรรมจบลงแล้วก็ยังฟังไม่อิ่ม  แล้วทรงเปรียบเทียบท่านซึ่งมีคุณอันน่าอัศจรรย์นี้กับพระเจ้าจักรพรรดิ  คือว่า  พระเจ้าจักรพรรดินั้นเมื่อขัตติยบริษัท  พราหมณบริษัท  คฤหบดีบริษัท  และสมณบริษัทเข้าเฝ้า  พอได้เห็นก็มีความยินดี  ครั้นได้ฟังพระดำรัสก็ยิ่งมีความยินดี  แม้ตรัสจบแล้วก็ยังไม่อิ่ม (นับเป็น ๔ ประการตามจำนวนบริษัท)
                ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้รับเอตทัคคะว่า เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายถึง ๕ อย่าง  คือ  ๑. เป็นพหูสูต  ๒. เป็นผู้มีสติ  ๓. เป็นผู้มีคติ  ๔. เป็นผู้มีความเพียร  ๕. เป็นอัคคุปัฏฐาก

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้เป็นพหูสูต
อานนท์นี้เป็นเลิศ
บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้มีสติ  อานนท์นี้เป็นเลิศ
บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้มีคติ  อานนท์นี้เป็นเลิศ
บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้มีความเพียร  อานนท์นี้เป็นเลิศ 
บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้เป็นอุปัฏฐาก  อานนท์นี้เป็นเลิศ  ดังนี้

          อรรถกถา (มโนรถปูรณี ภาค ๑ BUDSIR VI หมวดอรรถกถา เล่ม 14 หน้า ๒๕๖) ขยายความ ความเป็นเลิศ ของท่านพระอานนท์ไว้ว่า
เป็นพหูสูต คือเรียนรู้พระพุทธพจน์ไว้ได้มากเป็นประดุจขุนคลังพระปริยัติคือแหล่งเก็บรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ได้มากที่สุด
เป็นผู้มีสติ คือมีพลังความทรงจำมากกว่าพระสาวกอื่นๆ  คือมิใช่เพียงรู้ทั่วถึงทั้งหมดเท่านั้น หากแต่ยังจำได้ ท่องได้คล่องปากทั้งหมดด้วย
เป็นผู้มีคติ คือเพียงแต่ยกพระพุทธพจน์ขึ้นมาเพียงบทเดียว ท่านสามารถอธิบายขยายความโยงไปถึงบทอื่นๆ ได้เป็นหมื่นๆ บท
เป็นผู้มีความเพียร คือพลังความบากบั่นหมั่นเพียรของท่านในการศึกษาเรียนรู้ ทรงจำ และท่องบ่นพระพุทธพจน์ และในการปฏิบัติหน้าที่พุทธอุปัฏฐาก ไม่มีภิกษุรูปอื่นจะเทียบเทียมได้
เป็นอุปัฏฐากผู้เลิศ คือ (1) ปฏิบัติหน้าที่พุทธอุปัฏฐากอยู่นานกว่าท่านอื่นๆ (2) ตั้งแต่วันรับหน้าที่ไม่เคยบกพร่องหรือท้อแท้เลย (3) รู้พระทัยของพระพุทธองค์และปฏิบัติตามพุทธประสงค์ได้เป็นอย่างดีเลิศ

เกียรติคุณอีกอย่างหนึ่งที่ท่านได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ คือ มีฝีมือทางช่าง  สาเหตุที่ทรงชมเชยมีว่า  ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จจากนครราชคฤห์ไปสู่ทักษิณาคิรีชนบท  ได้ทอดพระเนตรเห็นคันนาของชาวมคธเป็นรูปสี่เหลี่ยม  มีคันนาสั้นๆ คั่นในระหว่าง  จึงตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า จะเย็บจีวรอย่างนั้นได้ไหม ?  ท่านทูลรับว่าเย็บได้  และต่อมาท่านเย็บจีวรให้พระหลายรูปแล้วนำไปถวายให้ทอดพระเนตร  พระพุทธองค์ทอดพระเนตรแล้วตรัสชมเชยในท่ามกลางสงฆ์ว่า 

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  อานนท์เป็นคนฉลาด  เป็นคนเจ้าปัญญา  ทราบซึ้งถึงเนื้อความแห่งถ้อยคำที่เรากล่าวโดยย่อให้พิสดารได้  ทำผ้ากุสิก็ได้  ทำผ้าอัฑฒกุสิ  ผ้ามณฑล  ผ้าอัฑฒมณฑล  ผ้าวิวัฏฏะ  ผ้าอนุวิวัฏฏะ  ผ้าคีเวยยกะ  ผ้าชังเฆยยกะ  และผ้าพาหันตะก็ได้

                นอกจากหน้าที่อุปัฏฐากประจำองค์อย่างใกล้ชิดแล้ว  ท่านพระอานนท์ยังปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ อีกหลายอย่าง  เป็นต้นว่า
งานรับสั่ง 
เช่นพระพุทธองค์รับสั่งให้ท่านไปประกาศคว่ำบาตรแก่วัฑฒลิจฉวี เพราะเหตุที่วัฑฒลิจฉวีได้สมรู้ร่วมคิดกับพระเมตติยะและพระภุมมชกะกล่าวใส่ร้ายท่านพระทัพพมัลลบุตรว่าเสพเมถุนธรรมกับชายาของท่าน 
รับสั่งให้ท่านนำนางยักษิณีเข้าเฝ้าเพื่อระงับการจองเวรจองผลาญกันและกัน
รับสั่งให้ท่านเรียกพระภิกษุสงฆ์ที่นครเวสาลีเข้าประชุมเพื่อฟังอานาปานสติ
รับสั่งให้ท่านแจ้งข่าวแก่พวกมัลลกษัตริย์กรุงกุสินาราว่า พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานที่ป่าไม้สาละ  ณ ราตรีนั้น  เป็นต้น 
และ งานมอบหมาย
เช่น ครั้งหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเลื่อมใสศรัทธา  มีพระประสงค์จะถวายนิตยภัตแก่พระพุทธองค์และพระภิกษุสงฆ์เป็นประจำทุกวัน  พระพุทธองค์ตรัสว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่รับนิตยภัตประจำในที่แห่งเดียว เพราะมีคนจำนวนมากต้องการจะทำบุญกับพระพุทธเจ้าจึงหวังจะให้เสด็จไปหาตนกันทั้งนั้น   เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบดังนั้น จึงทูลขอพระภิกษุ ๑ รูป ให้ไปรับนิตยภัตของพระองค์  พระผู้มีพระภาคจึงทรงมอบภาระนี้ให้แก่ท่านพระอานนท์  เมื่อได้รับมอบหมายแล้วท่านก็ไปรับเป็นประจำ แม้ว่าในตอนหลังๆ  พระเจ้าปเสนทิโกศลจะทรงลืมสั่งให้คนจัดนิตยภัตถวายไปบ้าง  แต่ท่านก็ยังไปอยู่เป็นประจำ 

อีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลมีพระประสงค์จะให้พระนางมัลลิกาเทวีและพระนางวาสภขัตติยา พระมเหสีของพระองค์ได้ศึกษาธรรม  จึงทูลนิมนต์ให้พระพุทธองค์กับภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป ไปสอนธรรมแก่พระมเหสีทั้งสอง  พระพุทธองค์ตรัสบอกข้อขัดข้องดังกล่าวแล้วข้างต้น  พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงมอบหมายให้ภิกษุรูปอื่นไปแทน  พระพุทธองค์ก็มอบหมายให้ท่านพระอานนท์รับภาระนี้  และท่านก็ทำได้ดีเช่นเดียวกัน 

และในตอนที่จะเสด็จปรินิพพานได้ทรงมอบหมายให้ท่านลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะเมื่อพระองค์นิพพานไปแล้ว ในฐานหัวดื้อไม่ยอมเชื่อฟังคำตักเตือนของพระอัครสาวก  เมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้วท่านก็ได้ไปลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ สำเร็จตามที่ทรงมอบหมายไว้
                โดยส่วนตัวแล้ว ท่านพระอานนท์รักพระพุทธองค์มาก แม้ชีวิตของท่านก็ยอมสละเพื่อพระพุทธองค์ได้  ดังมีเรื่องเล่าว่า

                ครั้งหนึ่ง พระเทวทัตปล่อยช้างนาฬาคิรีเพื่อให้ปลงพระชนม์พระพุทธองค์  พอช้างวิ่งมาใกล้พระพุทธองค์ ท่านได้เดินออกหน้าเพื่อให้ช้างแทงท่านแทน  แต่พระองค์ทรงห้ามไว้

                ครั้งหนึ่ง  พระพุทธองค์ประชวรด้วยโรคลมในพระอุทร  ท่านคิดว่าหากพระพุทธองค์ได้เสวยยาคูก็คงจะหายดังเช่นครั้งก่อนๆ  ท่านจึงขอเครื่องปรุงยาคูมาปรุงเองแล้วนำไปถวายให้เสวย  พระพุทธองค์ทรงทราบว่าท่านปรุงเอง จึงติเตียนว่าท่านทำการไม่ควรไม่เหมาะสม  มิใช่กิจสมณะ  ใช้ไม่ได้  ทำไมจึงพอใจมักมากเช่นนั้น  อามิสที่เก็บไว้ภายในที่อยู่เป็นอกัปปิยะ  แม้หุงต้มในที่อยู่ก็เป็นอกัปปิยะ

                ครั้งหนึ่ง  พระกายของพระผู้มีพระภาคหมักหมมด้วยสิ่งที่เป็นโทษ (คือท้องผูก) พระผู้มีพระภาคจึงตรัสบอกเรื่องนี้แก่ท่าน  แล้วตรัสว่าทรงประสงค์จะเสวยยาระบาย  ท่านจึงเข้าไปหาหมอชีวกโกมารภัจ บอกพระอาการดังกล่าวให้ฟัง  แล้วขอให้ปรุงยาระบายถวาย  หมอชีวกแนะนำให้ทำพระกายของพระพุทธองค์ให้ชุ่มชื่นสัก ๒ - ๓ วัน  ท่านก็ได้ปฏิบัติตามนั้นแล้วไปแจ้งให้หมอชีวกทราบอีก  หมอชีวกจึงได้ปรุงยาระบายพิเศษ  อบด้วยก้านอุบล ๓ ก้าน ใช้ดม  ไม่ใช่ใช้กินอย่างยาระบายอื่นๆ  เมื่อพระพุทธองค์ทรงสูดดมทั้ง ๓ ก้าน  ก็ทรงระบายถึง ๓๐ ครั้ง

                ในคราวที่พระผู้มีพระภาคประชวรหนักที่นครเวสาลี และทรงใช้ความเพียรขับไล่อาพาธนั้นไปได้  ครั้งนั้นท่านพระอานนท์ได้ทูลเล่าความในใจของท่านถวายพระพุทธองค์ว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์เห็นความสำราญของพระผู้มีพระภาคแล้ว  ข้าพระองค์เห็นความอดทนของพระผู้มีพระภาคแล้ว  ก็แต่ว่าเพราะการประชวรของพระผู้มีพระภาค  กายของข้าพระองค์ประหนึ่งจะงอมระงมไป  แม้ทิศทั้งหลายก็ไม่ปรากฏแก่ข้าพระองค์  แม้ธรรมทั้งหลายก็ไม่แจ่มแจ้งแก่ข้าพระองค์  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ก็แต่ว่าข้าพระองค์ยังเบาใจอยู่หน่อยหนึ่งว่า พระผู้มีพระภาคจักยังไม่เสด็จปรินิพพานก่อน จนกว่าจะได้ทรงปรารภสงฆ์แล้วตรัสพระพุทธพจน์อย่างใดอย่างหนึ่ง

                ครั้งหนึ่ง  ขณะที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่นิโครธาราม ใกล้นครกบิลพัสดุ์  พระองค์เพิ่งทรงฟื้นจากไข้หนักได้ไม่นาน  พระเจ้ามหานามะได้เสด็จเข้าไปทูลถามปัญหาว่า  ญาณเกิดก่อนสมาธิหรือว่าสมาธิเกิดก่อนญาณ ?   ท่านพระอานนท์เห็นว่าปัญหานี้หนักมาก จะเป็นการลำบากมากแก่พระพุทธองค์เพราะเพิ่งทรงฟื้นจากประชวรไข้  จึงได้จับพระหัตถ์พระเจ้ามหานามะนำเสด็จออกไปข้างนอก แล้วท่านก็อธิบายปัญหาธรรมข้อนั้นเสียเอง

                เมื่อทราบว่าพระพุทธองค์จะเสด็จปรินิพพานแน่แล้ว  ท่านก็ได้ทูลขอให้ทรงอยู่ต่อไปถึง ๓ ครั้ง แต่พระพุทธองค์ตรัสบอกว่าได้ทรงรับนิมนต์ของมารไว้เสียแล้ว พร้อมกันนี้ได้ทรงเล่าถึงนิมิตโอภาส ๑๖ ตำบล ที่พระองค์ทรงแสดงเพื่อให้ท่านนิมนต์ แต่ท่านไม่นิมนต์  แล้วตรัสว่านี้เป็นความผิดของท่านพระอานนท์เอง
                เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จไปสู่สาลวโนทยาน ใกล้นครกุสินารา  พอเสด็จไปถึงก็ตรัสใช้ให้ท่านช่วยตั้งเตียงให้หันพระเศียรไปทางทิศอุดร ระหว่างไม้สาละทั้งคู่  เมื่อท่านจัดการตั้งเตียงตามรับสั่งแล้ว พระพุทธองค์ประทับสีหไสยาโดยพระปรัศว์เบื้องขวา   ท่านทราบแน่ว่าพระผู้มีพระภาคจะปรินิพพานที่นี่แล้ว จึงหลีกออกจากที่เฝ้าเข้าไปสู่วิหาร ยืนเหนี่ยวไม้กปิสีสะ (ไม้ขัดประตู) ร้องไห้อยู่  ครั้นพระพุทธองค์ทรงทราบก็ตรัสให้เรียกท่านไปเฝ้า แล้วตรัสปลอบโยนให้หายเศร้าโศก  ท่านทูลให้เสด็จไปปรินิพพานที่เมืองใหญ่ๆ  เช่น เมืองจัมปา  เมืองราชคฤห์  เมืองพาราณสี  เมืองสาวัตถี  เมืองสาเกต  เมืองโกสัมพี  ไม่ควรมาปรินิพพานที่เมืองเล็ก เมืองดอน เมืองกิ่งอย่างนี้เลย  พระพุทธองค์จึงตรัสเล่าเรื่องความเป็นมาแห่งเมืองกุสินาราให้ฟังโดยละเอียด ดังปรากฏใน มหาสุทัสสนสูตร
                ตามปรกติท่านให้ความสะดวกแก่ผู้ที่จะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเสมอ แต่ถ้าหากเห็นว่าจะเป็นการลำบากพระพุทธองค์แล้วท่านจะห้ามไว้  เช่นในคราวสุภัททปริพาชกขอเข้าเฝ้าเพื่อทูลถามปัญหา  ท่านเห็นว่าเวลานั้นพระพุทธองค์กำลังจะเสด็จปรินิพพานอยู่แล้ว  สุภัททะนี้จะเข้าไปรบกวนพระพุทธองค์ จึงได้ห้ามไว้ไม่ยอมให้เข้าเฝ้า  แต่พระพุทธองค์รับสั่งให้เข้าไปได้
                และในตอนที่พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว  ท่านพระอานนท์ได้เล่าไว้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยอาการอันประเสริฐทั้งปวงเสด็จปรินิพพานแล้ว  ครั้งนั้นได้เกิดความอัศจรรย์น่าสะพรึงกลัว และเกิดอาการขนพองสยองเกล้า
                เนื่องจากท่านเป็นพหูสูต เป็นธรรมภัณฑาคาริก  ท่านจึงได้เป็นที่ปรึกษาของเพื่อนภิกษุ  อุบาสกและอุบาสิกา  ตลอดจนพวกพราหมณ์ ปริพาชกนักบวชนอกพระศาสนา  ดังจะได้ยกมาเป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้

                ครั้งหนึ่ง  ขณะที่ท่านพักอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร  ในตอนเช้าท่านเข้าไปบิณฑบาตในนครสาวัตถี มีท่านพระวังคีสะเป็นปัจฉาสมณะ  ท่านพระวังคีสะเห็นสตรีรูปงาม  แต่งตัวสวย  ก็เกิดความกระสันรัญจวนจิตขึ้น  จึงกล่าวกับท่านพระอานนท์ว่าท่านมีความเร่าร้อนเพราะกามราคะ ขอให้ท่านพระอานนท์ช่วยระงับราคะให้  ท่านพระอานนท์จึงแนะนำว่า  จิตของพระวังคีสะรุ่มร้อนเพราะสัญญาวิปลาส  ให้พระวังคีสะละเว้นนิมิตอันงามเสีย  จงเห็นสิ่งทั้งหลายโดยความเป็นของแปรปรวน  โดยความเป็นทุกข์  และอย่าเห็นโดยความเป็นตน  จงดับราคะอันแรงกล้า  จงอย่าให้ราคะเผาผลาญบ่อยๆ  จงเจริญอสุภกรรมฐานให้จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว  จงเจริญกายคตาสติ  จงเป็นผู้มากด้วยความหน่าย  จงเจริญความไม่มีนิมิต  จงถอนมานานุสัยเสีย  เพราะการรู้เท่าถึงมานะก็จะเป็นผู้สงบระงับได้

                ครั้งหนึ่ง ท่านพระอานนท์พักอยู่ที่โฆสิตาราม ใกล้นครโกสัมพี กับท่านพระกามภู  ในตอนเย็นวันหนึ่ง ท่านพระกามภูออกจากที่พักผ่อนไปหาท่านพระอานนท์  เรียนถามท่านว่า จักษุเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของรูป  รูปเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของจักษุหรือ ?  ฯลฯ  ใจเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของธรรมารมณ์  ธรรมารมณ์เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของใจหรือ ? 
ท่านพระอานนท์ตอบว่า  จักษุเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของรูป  แต่รูปหาใช่เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของจักษุไม่  ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักษุและรูปทั้งสองนั้นสัมผัสกัน  ฯลฯ  ใจเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของธรรมารมณ์  แต่ธรรมารมณ์หาใช่เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของใจไม่  ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยใจและธรรมารมณ์ทั้งสองนั้นสัมผัสกัน  เปรียบเหมือนโคดำและโคขาวที่เขาผูกติดกันด้วยเชือกเส้นเดียวกัน  หากบุคคลใดจะกล่าวว่า โคดำเกี่ยวเนื่องกับโคขาว  โคขาวเกี่ยวเนื่องกับโคดำ  บุคคลนั้นกล่าวชอบไหม ? 
ท่านพระกามภูตอบว่า บุคคลนั้นกล่าวไม่ชอบ  เพราะโคดำไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับโคขาว  เป็นแต่เกี่ยวเนื่องกันด้วยเชือกที่เขาผูกติดกันเท่านั้น 
ท่านพระอานนท์จึงกล่าวสรุปความว่า  ข้อนี้ฉันใด  จักษุเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของรูป  แต่รูปไม่ได้เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของจักษุ ฉันนั้น

                ครั้งหนึ่ง  ท่านพระอานนท์พักอยู่ที่โฆสิตาราม ใกล้นครโกสัมพี กับท่านพระอุทายี  วันหนึ่ง ท่านพระอุทายีได้เข้าไปหาท่านพระอานนท์  เรียนถามถึงคำกล่าวของปัญจาลจัณฑเทพบุตรที่ว่า พระพุทธองค์ทรงรู้แล้วซึ่งโอกาสอันไปแล้วในที่แคบนั้น  คำว่า ที่แคบ นี้หมายความว่ากระไร ?  ท่านตอบว่า ที่แคบได้แก่กามคุณ ๕  คือ  รูป  เสียง  กลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ

                อีกครั้งหนึ่ง  ท่านพระอุทายีได้เรียนถามท่านพระอานนท์ถึงเรื่องอนัตตาว่า  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสบอกอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า  กายนี้เป็นอนัตตา  แต่ว่าวิญญาณนั้นจะเป็นอนัตตาด้วยหรือ ?  ท่านพระอานนท์ตอบว่า เป็นอนัตตาด้วย  ท่านอธิบายว่า  เพราะวิญญาณเกิดขึ้นด้วยอาศัยอายตนะภายในกระทบกับอายตนะภายนอก  เมื่ออายตนะภายในหรืออายตนะภายนอกดับไป  วิญญาณก็ย่อมดับไปด้วย 
ท่านยกอุปมาว่า  เหมือนบุรุษผู้ต้องการแก่นไม้เที่ยวเสาะแสวงหาแก่นไม้  ถือขวานอันคมเข้าไปในป่า พบต้นกล้วยใหญ่ ลำต้นตรง  ไม่รุงรัง ในป่านั้น  พึงตัดที่โคนต้นแล้วตัดที่ปลาย แล้วลอกกาบออก  เขาจะไม่พบแม้แต่กระพี้ของมัน แล้วเขาจะพบแก่นของมันได้อย่างไรเล่า ข้อนี้ฉันใด  ภิกษุจะพิจารณาหาตัวตน สิ่งที่เป็นตัวตนในผัสสายตนะ ๖ ไม่ได้ฉันนั้น เหมือนกัน

                ครั้งหนึ่ง  ท่านพระฉันนะได้เข้าไปหาท่านพระอานนท์ขณะพักอยู่ที่โฆสิตาราม  ใกล้นครโกสัมพี  กล่าวปรารภกับท่านเป็นใจความว่า  สมัยหนึ่ง ท่านอาศัยอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้นครพาราณสี  ท่านได้เข้าไปหาพระเถระหลายรูป ขอร้องให้พระเถระเหล่านั้นช่วยกล่าวสอน พร่ำสอนท่าน  พระเถระทั้งหลายได้สอนท่านว่า  รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ ไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  เป็นอนัตตา  ท่านบอกว่าท่านไม่เลื่อมใส   ใจไม่หลุดพ้นจากกิเลส  จึงมาคิดคำนึงว่า  ใครหนอจะแสดงธรรมแก่ท่านทำให้ท่านได้เห็นธรรม  ก็คิดได้ว่าท่านพระอานนท์นี่แหละจะแสดงธรรมแก่ท่านได้  เพราะท่านพระอานนท์เป็นผู้ที่พระบรมศาสดาทรงยกย่องสรรเสริญว่า สามารถแสดงธรรมแก่เพื่อนพรหมจารีได้  ทั้งท่านพระอานนท์ก็มีความคุ้นเคยกับท่านด้วยดี  ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมาหาท่านพระอานนท์  ขอให้ท่านพระอานนท์ช่วยแสดงธรรมแก่ท่าน  
ท่านพระอานนท์ได้กล่าวสอนเรื่องที่ท่านได้สดับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า  พระพุทธองค์ได้ตรัสกับภิกษุกัจจายนโคตรว่า 

โลกนี้โดยมากอาศัยส่วนสุด ๒ อย่าง คือ  ความมี และความไม่มี 
เมื่อบุคคลเห็นเหตุเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอยู่ ความไม่มีในโลกย่อมไม่มี  เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอยู่ ความมีในโลกย่อมไม่มี
โลกนี้โดยมากพัวพันด้วยอุบายเป็นเหตุถือมั่นและความยึดมั่น  แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง  ไม่ถือมั่น  ไม่ตั้งไว้ ซึ่งอุบายเป็นเหตุถือมั่นมีความยึดมั่นด้วยความตั้งใจไว้เป็นอนุสัยว่าอัตตาของเรา  ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า  ทุกข์นี่แหละเมื่อบังเกิดขึ้นย่อมบังเกิดขึ้น  ทุกข์เมื่อดับย่อมดับ  อริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย  ด้วยเหตุเพียงเท่านี้จึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ 
ส่วนสุดที่ ๑ ว่า  สิ่งที่ปวงมีอยู่  ส่วนสุดที่ ๒ ว่า  สิ่งทั้งปวงไม่มี  พระตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้งสองนั้นว่า  เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร  เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ฯลฯ  ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลเหล่านี้ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้   และ เพราะอวิชชานั้นแหละดับ สังขารจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้

                เมื่อท่านพระอานนท์กล่าวจบ  ท่านพระฉันนะได้กล่าวชมเชยท่านพระอานนท์ว่า  ท่านเหล่าใดกล่าวสอนธรรมอย่างนี้  ท่านเหล่านั้นเป็นผู้อนุเคราะห์ มุ่งประโยชน์  กล่าวสอนและพร่ำสอนเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย  และท่านรับว่าท่านได้เข้าใจธรรมเทศนาอย่างแจ่มแจ้ง

                สมัยหนึ่ง  ท่านพระอานนท์กับท่านพระภัททะ พักอยู่ที่กุกกุฏาราม ใกล้เมืองปาฏลีบุตร  เย็นวันหนึ่ง ท่านพระภัททะออกจากที่พักผ่อนเข้าไปหาท่านพระอานนท์  เรียนถามท่านว่า  พระพุทธเจ้าตรัสศีลที่เป็นกุศลไว้เพื่อประสงค์อะไร ?  ท่านพระอานนท์กล่าวชมเชยท่านพระภัททะว่าเป็นคนช่างคิด ช่างถาม  และได้ตอบว่า  พระพุทธองค์ตรัสไว้เพื่อเป็นประโยชน์ในการเจริญสติปัฏฐาน ๔

                สมัยหนึ่ง  ท่านพระอานนท์พักอยู่ที่โฆสิตาราม ใกล้นครโกสัมพี  ท่านพระภัททชิเข้าไปหาท่านถึงที่พัก  ท่านได้ถามท่านพระภัททชิว่า  บรรดาการเห็นทั้งหลาย  การเห็นชนิดไหนเป็นยอด  บรรดาการได้ยินทั้งหลาย  การได้ยินชนิดไหนเป็นยอด  บรรดาสัญญาทั้งหลาย  สัญญาชนิดไหนเป็นยอด  บรรดาภพทั้งหลาย ภพชนิดไหนเป็นยอด
               ท่านพระภัททชิตอบว่า  เห็นพระพรหมชื่อว่าเป็นยอดของการเห็น  ได้ยินเสียงของเหล่าเทพอาภัสสระชื่อว่าเป็นยอดของการได้ยิน  ความสุขของเหล่าเทพสุภกิณหะเป็นยอดของความสุข  การเข้าถึงอากิญจัญญายตนภพ เป็นยอดของสัญญา  การเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนภพ เป็นยอดของภพ
                ท่านพระอานนท์กล่าวว่า  คำตอบของท่านพระภัททชินี้ก็เท่ากับคำของชนส่วนมากเขากล่าวกัน  ท่านพระภัททชิจึงขอให้ท่านพระอานนท์อธิบายให้ฟัง  ท่านจึงกล่าวว่า 
การเห็นตามเป็นจริง เป็นยอดของการเห็น 
การได้ยินตามเป็นจริง เป็นยอดของการได้ยิน 
ได้สุขตามเป็นจริง เป็นยอดของสุข  
สัญญาตามเป็นจริง เป็นยอดของสัญญา 
เป็นอยู่ตามเป็นจริง เป็นยอดของภพ

                ครั้งหนึ่ง  พระภิกษุทั้งหลายได้ฟังธรรมกถาย่อๆ จากสำนักพระผู้มีพระภาค  ไม่เข้าใจ เกิดความลังเลสงสัย  จึงพร้อมใจกันไปหาท่านพระอานนท์  เล่าความถวายท่านว่า  พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอุเทศโดยย่อว่า บุคคลควรทราบสิ่งที่ไม่เป็นธรรมและสิ่งที่เป็นธรรม  สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์และสิ่งที่เป็นประโยชน์  ครั้นทราบแล้วจึงปฏิบัติตามสิ่งที่เป็นธรรม  ตามสิ่งที่เป็นประโยชน์ ดังนี้  ไม่ทรงจำแนกอรรถโดยพิสดาร เสด็จลุกจากอาสนะเข้าสู่พระวิหารเสีย  พวกท่านจึงได้พร้อมใจกันมาขอให้ท่านพระอานนท์ช่วยจำแนกให้ฟังว่า  อะไรคือสิ่งที่ไม่เป็นธรรม  และอะไรคือสิ่งที่เป็นธรรม
                ท่านพระอานนท์กล่าวกับภิกษุทั้งหลายว่า  ภิกษุทั้งหลาย  เหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ พบไม้ใหญ่มีแก่นแล้ว ไม่ตัดเอารากและลำต้นมันไป  แต่สำคัญใบและกิ่งว่าเป็นแก่นไม้ที่ตนต้องประสงค์  แล้วจะพบแก่นไม้ได้อย่างไร ?  ข้อนี้เหมือนกับภิกษุทั้งหลายเมื่อพบพระพุทธเจ้า ซึ่งเปรียบเหมือนไม้ใหญ่มีแก่นแล้ว แต่ไม่ทูลถาม  มาถามท่านซึ่งเป็นเสมือนใบและกิ่งของไม้
                พระภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า  ถึงอย่างนั้นก็จริง แต่ว่าท่านพระอานนท์ได้รับคำสรรเสริญยกย่องจากพระพุทธองค์และเพื่อนพรหมจารีทั้งหลายว่า เป็นผู้สามารถจำแนกแจกอรรถแห่งธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยย่อไว้ให้พิสดารได้
                ท่านพระอานนท์จึงได้จำแนกอรรถแห่งธรรมนั้นโดยพิสดารถวายพระภิกษุทั้งหลาย  คือท่านกล่าวว่า  อริยมรรค ๘ ประการ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น คือสิ่งที่เป็นธรรม  ที่ตรงกันข้ามกับอริยมรรค ๘ คือสิ่งที่ไม่เป็นธรรม  ในตอนท้ายท่านแนะนำให้ภิกษุเหล่านั้นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและทูลถามอรรถธรรมนั้นอีก 
พระภิกษุทั้งหลายชื่นชมธรรมภาษิตของท่านมาก  ลุกจากอาสนะแล้วไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลเล่าความที่พระอานนท์ขยายพุทธพจน์โดยย่อถวายให้ทรงทราบ  พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญพระอานนท์   ที่นั้นว่า เป็นบัณฑิต มีปัญญามาก  และตรัสว่า ถ้าภิกษุทั้งหลายมาทูลถามพระองค์ถึงอรรถนั้น  พระองค์ก็จะทรงอธิบายอย่างที่พระอานนท์อธิบายนั่นแหละ

                นอกจากเป็นที่ปรึกษาของพุทธบริษัทแล้ว ท่านยังเป็นที่ปรึกษาของพวกพราหมณ์ ปริพาชกด้วย  เช่น

                คราวหนึ่ง  ขณะที่ท่านพักอยู่ที่โฆสิตาราม ใกล้นครโกสัมพี  โฆสิตคฤหบดีได้เข้าไปหาท่านแล้วเรียนถามเกี่ยวกับความแตกต่างแห่งธาตุที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ?  ท่านพระอานนท์ตอบว่า  จักขุธาตุ  โสตธาตุ  ฆานธาตุ  ชิวหาธาตุ  กายธาตุ  มโนธาตุ  เป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา ทุกขเวทนา และอุเบกขาเวทนา

                อีกคราวหนึ่ง  ขณะที่ท่านพระอานนท์พักอยู่ที่โฆสิตาราม ใกล้นครโกสัมพี  พราหมณ์คนหนึ่งชื่ออุณณาภะ ได้เข้าไปหาท่านถึงที่พักแล้วเรียนถามท่านว่า ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระสมณโคดมเพื่อประโยชน์อะไร ?  ท่านตอบว่า เพื่อละฉันทะ  อุณณาภพราหมณ์ถามต่อไปว่า  ข้อปฏิบัติให้ละฉันทะมีด้วยหรือ ?  ท่านตอบว่า มี  และอธิบายว่า วิธีละฉันทะนั้นต้องเจริญอิทธิบาท ๔ คือ  ฉันทสมาธิและปธานสังวร  วิริยสมาธิและปธานสังวร  จิตตสมาธิและปธานสังวร  วิมังสาสมาธิและปธานสังวร
                อุณณาภพราหมณ์แย้งว่า  จะเอาฉันทะไปละฉันทะได้อย่างไร ?  ท่านอธิบายว่า  เหมือนกับอุณณาภะนี่แหละ  เมื่อก่อนจะมาสู่อารามก็มีความพอใจ  มีความเพียร  มีความคิด  มีความตรึกตรอง ว่าเราจะไปอาราม  ครั้นไปถึงอารามแล้ว ความพอใจก็ระงับไป  ความเพียรก็ระงับไป  ความคิดก็ระงับไป  ความตรึกตรองก็ระงับไป  ข้อนี้เปรียบเหมือนกับภิกษุผู้เป็นพระขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ในเบื้องต้นก็มีความพอใจ  ความเพียร  ความคิด  ความตรึกตรองเพื่อให้บรรลุอรหัต  ครั้นบรรลุอรหัตแล้ว  ความพอใจ  ความเพียร  ความคิด  ความตรึกตรองก็ระงับไป
                พอท่านกล่าวจบ  ท่านอุณณาภพราหมณ์มีความพอใจมาก  กล่าวคำชมเชย  และขอแสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต

                ครั้งหนึ่ง  ขณะที่ท่านพระอานนท์พักอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร ใกล้นครสาวัตถี  ฉันนปริพาชกได้เข้าไปหาท่านถึงที่พักและได้เรียนถามท่านว่า  พวกพระภิกษุพุทธสาวกนี้ได้บัญญัติการละราคะ  โทสะ  โมหะหรือ ?  ท่านตอบว่าได้บัญญัติ  ฉันนปริพาชกเรียนถามต่อไปว่า  เห็นโทษในราคะ  โทสะ  โมหะ อย่างไรจึงได้บัญญัติการละไว้ ?  ท่านตอบว่า  เพราะบุคคลผู้กำหนัด ถูกความกำหนัดครอบงำรัดรึงจิตไว้  บุคคลผู้ดุร้าย ถูกความดุร้ายครอบงำรัดรึงจิตไว้  บุคคลผู้หลง ถูกความหลงครอบงำรัดรึงจิตไว้  ย่อมคิดแต่จะเบียดเบียนตนและผู้อื่น  เสวยทุกข์โทมนัสทางจิต  ย่อมประพฤติกายทุจริต  วจีทุจริต  มโนทุจริต  ย่อมไม่รู้แม้ประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่นตามความเป็นจริง  ราคะ  โทสะ  โมหะทำให้มืด  ทำให้บอด  ทำให้ไม่รู้อะไร  ทำให้ปัญญาดับ  เป็นไปในฝ่ายคับแค้น  ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน  แต่เมื่อละราคะ  โทสะ  โมหะได้แล้ว  ย่อมไม่คิดเบียดเบียนตนและผู้อื่น  เสวยแต่สุขโสมนัส  ย่อมประพฤติแต่กายสุจริต  วจีสุจริต  มโนสุจริต  ย่อมรู้จักประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นตามเป็นจริง
                เมื่อฉันนปริพาชกเรียนถามว่า  วิธีปฏิบัติเพื่อละราคะ  โทสะ  โมหะ  มีหรือ เป็นอย่างไร ?  ท่านตอบว่ามี  คืออริยมรรค ๘  แล้วอธิบายโดยพิสดาร

                ครั้งหนึ่ง  ขณะที่ท่านพักอยู่ที่โฆสิตาราม ใกล้นครโกสัมพี  สาวกของอาชีวกคนหนึ่งเข้าไปหาท่าน  ไหว้แล้วถามท่านว่า  คนพวกไหนได้กล่าวธรรมไว้ดีแล้ว  คนพวกไหนได้ปฏิบัติธรรมดีแล้ว  คนพวกไหนดำเนินไปดีแล้วในโลก  ท่านตอบว่า  คนพวกใดก็ตามแสดงธรรมเพื่อละราคะ  โทสะ  โมหะ  คนพวกนั้นชื่อว่ากล่าวธรรมไว้ดีแล้ว  คนพวกใดปฏิบัติธรรมเพื่อละราคะ  โทสะ  โมหะ  คนพวกนั้นชื่อว่าปฏิบัติธรรมดีแล้ว  คนพวกใดละราคะ  โทสะ  โมหะได้แล้ว  ตัดรากขาดแล้ว  ทำให้ไม่มีที่ตั้งดุจตาลยอดด้วน  คนพวกนั้นชื่อว่าดำเนินไปดีแล้วในโลก
                สาวกอาชีวกคนนั้นพอใจธรรมนี้มาก ได้กล่าวว่า  ท่านพระอานนท์กล่าวธรรมไม่ยกธรรมของตน  ไม่รุกรานธรรมของผู้อื่น  เป็นการเทศนาเฉพาะเหตุผล  ไม่ได้นำตนเข้าไปอวดอ้าง  กล่าวแต่เนื้อความเท่านั้น

                ครั้งหนึ่ง  ขณะที่ท่านพักอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้นครเวสาลี  เจ้าอภัยลิจฉวีกับเจ้าบัณฑิตกุมารลิจฉวีได้พากันไปหาท่าน กราบเรียนว่า  ท่านนิครนถนาฏบุตรได้บัญญัติว่า  กรรมเก่าหมดไปเพราะความเพียรเผากิเลส  ฆ่าเหตุได้เพราะทำกรรมใหม่  ด้วยประการฉะนี้จึงเป็นอันว่าเพราะกรรมสิ้นไปทุกข์จึงหมดไป  เพราะทุกข์หมดไป เวทนาจึงสิ้นไป  เพราะเวทนาสิ้นไปทุกข์ทั้งสิ้นจึงจักเสื่อมไปโดยไม่เหลือ  การล่วงทุกข์ย่อมมีได้โดยความหมดจด  แล้วถามท่านว่า ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคตรัสไว้อย่างไร ?  ท่านพระอานนท์ตอบว่า  พระพุทธองค์ได้ตรัสความหมดจดไว้ ๓ ขั้น  คือหมดจดด้วยศีล  สมาธิ  และปัญญา
                ตอนจบธรรมกถา  เจ้าบัณฑิตกุมารถามเจ้าอภัยว่า  อภัยเพื่อนรัก ทำไมท่านไม่ชื่นชมอนุโมทนาคำสุภาษิตของท่านพระอานนท์โดยความจริงด้วยคำสุภาษิต  เจ้าอภัยตอบว่า ไฉนจะไม่ชื่นชมอนุโมทนาเล่า  ใครไม่ชื่นชมอนุโมทนาคำของท่านพระอานนท์  ความคิดของผู้นั้นเสื่อมทรามทีเดียว

                สมัยหนึ่ง  ท่านพักอยู่ที่ตโปทาราม ใกล้นครราชคฤห์  เช้าวันหนึ่ง ท่านตื่นแต่เวลาใกล้รุ่ง แล้วไปสรงน้ำที่ท่าตโปทา  ครั้นสรงน้ำเสร็จแล้วก็กลับขึ้นจากท่า มีจีวรผืนเดียวยืนผึ่งตัวอยู่  โกกนุทปริพาชกผู้ซึ่งตื่นแต่เช้าตรู่ และเดินไปจะอาบน้ำที่ท่าตโปทาเช่นเดียวกัน ได้เห็นพระเถระยืนอยู่จึงร้องถามไปว่าเป็นใคร  ท่านตอบว่าเป็นพระพวกสมณศากยบุตร   โกกนุทะเรียนถามว่า จะถามปัญหาข้อข้องใจได้ไหม ?  ท่านตอบว่า ถามมาเถิด ท่านจะแก้   แล้วโกกนุทะก็ถามว่า  ท่านเห็นว่าโลกเที่ยง  สิ่งนี้เท่านั้นจริง  สิ่งอื่นเปล่าหรือหนอ ?  ท่านตอบว่า ท่านไม่ได้เห็นอย่างนั้น  แล้วโกกนุทะก็เรียนถามไปทีละข้อในทิฐิ ๑๐ ประการ  คือท่านเห็นว่าโลกไม่เที่ยง  โลกมีที่สุด  โลกไม่มีที่สุด  ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น  ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง  สัตว์ตายแล้วย่อมเกิดอีก  สัตว์ตายแล้วย่อมไม่เกิดอีก  สัตว์ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็มี ไม่เกิดอีกก็มี  สัตว์ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็ไม่ใช่ ไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่  สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่าหรือ ?  ท่านตอบว่าท่านไม่ได้เห็นอย่างนั้น  โกกนุทะถามว่า  ถ้าอย่างนั้นท่านก็ไม่รู้ไม่เห็นอะไรนะซิ ?  ท่านตอบว่าท่านรู้ท่านเห็น  โกกนุทะถามต่อไปอีกว่า  ท่านรู้เห็นอย่างไร ?  ท่านตอบว่า  ท่านรู้แล้วว่าเรื่องที่โกกนุทะถามทั้งหมดเป็นทิฐิ  ท่านรู้เห็นทิฐิ  และความเพิกถอนทิฐิว่ามีประมาณเท่าใด  ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าท่านรู้อยู่เห็นอยู่
                เมื่อท่านกล่าวจบ  โกกนุทปริพาชกแปลกใจ เรียนถามชื่อท่าน  พอท่านบอกว่าชื่ออานนท์  โกกนุทะถึงกับอุทานออกมาว่า โอ  ไม่รู้เลยว่าเราสนทนาอยู่กับอาจารย์ผู้ใหญ่  ก็ถ้าข้าพเจ้ารู้เสียแต่แรกว่าพระคุณท่านคือพระอานนท์ไซร้  ข้าพเจ้าก็จะไม่พึงกล่าวโต้ตอบถึงเพียงนี้  ขอท่านพระอานนท์จงยกโทษให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

                ครั้งหนึ่ง  ท่านพักอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร ในตอนเช้าได้เข้าไปบ้านของนางมิคสาลาอุบาสิกา  นางได้เรียนถามว่า  ธรรมของพระพุทธเจ้าเอาประมาณไม่ได้  คือคนที่ประพฤติพรหมจรรย์และคนที่ไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์มีคติเสมอกันในสัมปรายภพ  แล้วนางเล่าความว่า บิดาของนางชื่อปุราณะ เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ งดเว้นจากเมถุนธรรม  เมื่อตายไปแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่าเป็นสกทาคามีบุคคล ไปเกิดในชั้นดุสิต  อีกคนหนึ่งชื่ออิสิทัตตะ ผู้เป็นที่รักของบิดาของนาง  ผู้นี้ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ แต่สันโดษยินดีในภริยาของตนเท่านั้น  เมื่อเขาตายไปแล้ว พระผู้มีพระภาคก็ทรงพยากรณ์ว่าเป็นสกทาคามีบุคคล ไปเกิดในชั้นดุสิตเหมือนกัน 
ท่านพระอานนท์ก็รับรองว่า  พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์อย่างนั้น  และเมื่อรับบิณฑบาตเสร็จแล้วท่านได้กลับไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคถึงเรื่องนี้  พระพุทธองค์จึงตรัสเรื่องบุคคล ๑๐ จำพวก

                ครั้งหนึ่ง  พระเจ้าปเสนทิโกศลกษัตริย์แห่งแคว้นโกศลได้เสด็จด้วยช้างชื่อบุณฑริกออกจากนครสาวัตถีในเวลากลางวัน  ทอดพระเนตรเห็นพระอานนท์แต่ที่ไกลจึงให้อำมาตย์ไปอาราธนาให้ท่านหยุดรออยู่ก่อน  ท่านพระอานนท์ก็หยุดรออยู่  ครั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปถึง ได้อาราธนาท่านไปที่ริมฝั่งแม่น้ำอจิรวดีกับพระองค์  ครั้นเสด็จไปถึงที่นั้นแล้วทรงถามท่านพระอานนท์ว่า  พระผู้มีพระภาคทรงประพฤติกายสมาจาร  วจีสมาจาร  มโนสมาจาร  ที่สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งพึงติเตียนได้มีบ้างไหม ?  ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า ไม่มีเลย
                พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสรรเสริญว่า  น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีมาก่อน  ตรัสต่อไปว่า  พวกชนผู้เป็นพาล ไม่ฉลาด ไม่ใคร่ครวญ ไม่พิจารณา  กล่าวคุณหรือโทษของคนอื่น  เราทั้งหลายยังยึดถือคำนั้นว่าเป็นแก่นสารนักไม่ได้  แต่ถ้าชนชั้นบัณฑิตผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ใคร่ครวญพิจารณาแล้ว  กล่าวคุณหรือโทษของผู้อื่น  เราทั้งหลายควรยึดถือว่าเป็นสาระแก่นสารได้   ต่อจากนั้นพระเจ้าปเสนโกศลได้ตรัสถามว่า  กายสมาจาร  วจีสมาจาร  และมโนสมาจาร  ที่สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้รู้พึงติเตียนเป็นเช่นไร ?  ท่านพระอานนท์ทูลว่า  ได้แก่กายสมาจาร  วจีสมาจาร  มโนสมาจาร ที่เป็นอกุศล  ที่มีโทษ  ที่มีความเบียดเบียนตนและผู้อื่น  ที่มีทุกข์เป็นผล
                พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสถามถึงกายสมาจาร  วจีสมาจาร  มโนสมาจาร ที่สมณพราหมณ์ไม่พึงติเตียนว่าเป็นเช่นไร ?  ท่านพระอานนท์ถวายพระพรว่า ได้แก่กายสมาจาร  วจีสมาจาร  มโนสมาจาร ที่เป็นกุศล ไม่มีโทษ  ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น  มีสุขเป็นผล
                ในตอนจบการสนทนาธรรม  พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสรรเสริญท่านพระอานนท์ว่า กล่าวธรรมได้ดีมาก  และตรัสว่า  หากว่าช้างแก้ว  ม้าแก้ว  บ้านส่วย  ควรแก่ท่านพระอานนท์แล้ว  พระองค์จะทรงยินดียกถวาย  แต่นี้ไม่สมควรแก่สมณะ  ผ้าพาหิติกายาว ๑๖  ศอก  กว้าง ๘ ศอก ที่พระเจ้าอชาตศัตรูถวายพระองค์นี้สมควรแก่ท่านพระอานนท์  พระองค์จะทรงถวาย  แต่ท่านพระอานนท์ทูลปฏิเสธว่า  ไตรจีวรของท่านมีครบบริบูรณ์แล้ว  พระองค์ตรัสอ้อนวอนให้ท่านอนุเคราะห์รับไว้  และทรงแนะนำให้เอาผ้าเก่าถวายแก่เพื่อนสหธรรมิกรูปอื่นไปเสีย  ท่านจึงรับไว้
                เมื่อได้เวลาอันสมควร พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จกลับ ท่านพระอานนท์ก็กลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งทรงพักพระอิริยาบถกลางวันอยู่ที่ปราสาทของมิคารมารดา ทูลถวายผ้าพาหิติกาผืนนั้น แล้วทูลเล่าเรื่องการสนทนาธรรมกับพระเจ้าปเสนทิโกศลทุกประการ  พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญท่านท่ามกลางภิกษุสงฆ์จำนวนมาก

                ครั้งหนึ่ง  พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป  เสด็จจาริกจากนครพาราณสีมุ่งตรงไปยังอันธกวินทชนบท  คราวนั้นประชาชนชนบทได้นำอาหารจำนวนมากบรรทุกเกวียนติดตามไปเพื่อจัดถวายพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์
               พราหมณ์คนหนึ่งในจำนวนนั้นตั้งใจจะถวายอาหารบ้าง  แต่ไม่ได้โอกาสสักที  ติดตามขบวนเสด็จมาก็ตั้ง ๒ เดือนกว่าแล้ว  จึงเข้าไปตรวจดูในโรงครัวว่าขาดอะไรบ้าง  ก็เห็นว่ายังขาดยาคูกับขนมปรุงด้วยน้ำหวาน  จึงเข้าไปหาท่านพระอานนท์ เรียนถามว่า ตนจะถวายยาคูและขนมปรุงด้วยน้ำหวานแก่พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ได้หรือไม่  ท่านพระอานนท์จึงเข้าไปทูลถามพระพุทธองค์  ก็ทรงอนุญาตให้พราหมณ์ปรุงถวายได้ และเมื่อฉันเสร็จทรงแสดงอานิสงส์ของยาคูไว้ ๑๐ ประการ คือ ๑. ให้อายุ  ๒. ให้วรรณะ  ๓.  ให้สุข  ๔. ให้พละ  ๕. ให้ปฏิภาณ  ๖. กำจัดความหิว  ๗. กำจัดความระหาย  ๘. ทำให้ลมเดินคล่อง  ๙.  ล้างลำไส้ได้ดี  ๑๐. ย่อยอาหารใหม่ที่เหลืออยู่ได้

                ครั้งหนึ่ง  ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีคิดว่า  พระเชตวันมหาวิหารของท่าน เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปโปรดสัตว์ที่อื่นเสีย ก็ว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยอะไรเลย  อุบาสกอุบาสิกาถือดอกไม้ของหอมไปจะบูชา ก็ไม่มีปูชนียสถานจะบูชา  จึงทิ้งไว้ที่ประตูพระคันธกุฎี  ท่านจึงเข้าไปปรึกษากับท่านพระอานนท์  ท่านพระอานนท์จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลถามเรื่องพระเจดีย์ว่ามีกี่อย่าง  พระพุทธเจ้าตรัสว่ามี ๓ อย่าง  คือสารีริกธาตุเจดีย์  ปาริโภคิกเจดีย์  และอุเทสิกเจดีย์  แล้วท่านทูลเล่าเรื่องที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีปรารภกับท่าน  ในที่สุดท่านทูลถามว่าจะนำพืชโพธิ์จากต้นมหาโพธิ์มาปลูกไว้ที่ประตูพระเชตวันมหาวิหาร จะได้หรือไม่  พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต  ท่านจึงกลับไปแจ้งแก่ท่านเศรษฐี  พระเจ้าปเสนทิโกศล  และนางวิสาขา  ให้ขุดหลุมปลูกต้นโพธิ์ที่หน้าประตูพระเชตวัน  แล้วนิมนต์ให้ท่านพระมหาโมคคัลลานะไปนำมาถวายตามประสงค์ 
ครั้นได้พืชโพธิ์แล้วท่านได้แจ้งข่าวแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลและคนทั้งหลายว่า  เราจะปลูกโพธิ์กันในวันนี้   ในตอนเย็นของวันนั้นพระราชารับสั่งให้คนถืออุปกรณ์หลายอย่างเสด็จไปที่นั้นพร้อมด้วยข้าราชบริพารจำนวนมาก  ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี  นางวิสาขา  และผู้มีศรัทธาอื่นๆ  ก็พากันไปที่นั่นอย่างพร้อมเพรียง  จากนั้นพระเถระจึงวางกระเช้าทองคำไว้   ที่จะปลูกต้นโพธิ์  ให้เจาะรูตรงก้น แล้วทูลถวายพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นผู้ปลูก  แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงมอบหมายให้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นผู้ปลูก  อนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงเอาน้ำหอมพรมพืชโพธิ์แล้ววางพืชโพธิ์ลงไปในหลุม  โพธิ์นี้มีนามว่า อานันทโพธิ  เพราะท่านพระอานนท์เป็นผู้ให้ปลูก

                ครั้งหนึ่ง  พระพุทธองค์เสด็จจาริกจากอาปาณนิคม ตรงไปยังนครกุสินารา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป  พวกมัลลกษัตริย์พอได้สดับข่าวการเสด็จมาของพระผู้มีพระภาค ก็ได้ตระเตรียมต้อนรับเป็นการใหญ่  ออกประกาศว่า  หากใครไม่จัดการต้อนรับเสด็จจะต้องถูกปรับสินไหมเป็นเงิน ๕๐๐ กษาปณ์ 
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงก็ทรงได้รับการต้อนรับอย่างมโหฬารยิ่ง  มัลลกษัตริย์องค์หนึ่งชื่อโรชะ เป็นสหายของท่านพระอานนท์ก็ไปเฝ้ารับเสด็จด้วย  ครั้นรับเสด็จพระผู้มีพระภาคแล้วก็เสด็จเข้าไปหาท่านพระอานนท์  อภิวาทแล้วประทับนั่งที่สมควร  ท่านพระอานนท์ได้ปราศรัยเป็นเชิงชมเชยว่า  แหม ! ท่านโรชะ  ท่านจัดการต้อนรับพระผู้มีพระภาคอย่างมโหฬารเชียว
                เจ้าโรชะตรัสว่า  ที่ไหนได้ท่านอานนท์  พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ไม่ทำให้ข้าพเจ้าจัดการต้อนรับใหญ่อย่างนี้เลย  พระญาติของข้าพเจ้าต่างหากได้ตั้งกติกาไว้ว่า  หากผู้ใดไม่จัดการต้อนรับเสด็จ  ผู้นั้นจะถูกปรับสินไหมเป็นเงิน ๕๐๐ กษาปณ์  ข้าพเจ้ากลัวถูกปรับสินไหมดอกจึงได้จัดการต้อนรับเสด็จครั้งนี้
                ท่านพระอานนท์ได้ฟังพระดำรัสของเจ้าโรชะแล้วรู้สึกผิดหวัง  รีบเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลเล่าเรื่องให้ทรงทราบ  และทูลแนะขึ้นว่า  เจ้าโรชะเป็นคนมีชื่อเสียง มีคนรู้จักมาก  การชักจูงให้คนมีชื่อเสียงอย่างนี้มาเลื่อมใสในพระศาสนาจะทำให้มีอิทธิพลมากขึ้น  และทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงบันดาลให้เจ้าโรชะมีความเลื่อมใสในพระพุทธองค์  พระพุทธองค์ทรงรับว่าการบันดาลให้เจ้าโรชะเลื่อมใสนั้นไม่ยากเลย  แล้วทรงแผ่เมตตาจิตไปยังเจ้าโรชะ  ครั้นแล้วเสด็จลุกจากอาสนะเสด็จเข้าสู่พระวิหาร
                ฝ่ายเจ้าโรชะพอได้สัมผัสเมตตาจิตของพระพุทธองค์ก็บังเกิดความเลื่อมใส  เสด็จลุกจากอาสนะเที่ยวค้นหาพระพุทธองค์ตามพระวิหารตามบริเวณทั่วทุกแห่งก็ไม่พบ  ตรัสถามพระภิกษุทั้งหลายว่าพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ไหน  พระภิกษุทูลแนะนำว่า  พระพุทธองค์ประทับอยู่ในพระวิหาร  เวลานี้ประตูปิดสนิทแล้ว ขอให้สงบเสียง  เสด็จตรงไปที่ประตู  และทรงเคาะประตูนั้น  พระพุทธองค์จักทรงเปิดรับท่าน  เจ้าโรชะได้ทรงปฏิบัติดังนั้นจึงได้เข้าเฝ้า  พระพุทธองค์จึงทรงแสดงอนุปุพพิกถาโปรด  ครั้นเจ้าโรชะมีจิตสะอาดดีแล้วจึงทรงแสดงอริยสัจ ๔  ครั้นจบพระธรรมเทศนา เจ้าโรชะได้ดวงตาเห็นธรรม
                วันต่อมา เจ้าโรชะประสงค์จะถวายทานแด่พระพุทธองค์และพระภิกษุสงฆ์ แต่ไม่ได้โอกาสตามลำดับ เพราะมีคนมากมายจัดตั้งลำดับภัตตาหารไว้แล้ว  ท่านเห็นว่ายังขาดผักสดและขนมทำด้วยแป้ง  จึงเข้าไปหาท่านพระอานนท์ขอคำแนะนำว่า จะถวายผักสดและขนมทำด้วยแป้งจะได้ไหม ?  ท่านพระอานนท์จึงไปทูลถามพระพุทธเจ้า แล้วกลับมาแจ้งให้เจ้าโรชะทราบว่า ทรงอนุญาตให้จัดถวายได้  เจ้าโรชะได้ถวายสมประสงค์ก็พอพระทัยยิ่ง
                ก่อนหน้านี้  เจ้าโรชะเคยส่งข่าวไปอาราธนาท่านพระอานนท์ให้ไปหาท่าน  และเมื่อท่านพระอานนท์ไปถึงแล้ว  ท่านนิมนต์ให้ท่านพระอานนท์สึกออกไปครอบครองเมืองด้วยกัน

                ครั้งหนึ่ง  พระพุทธองค์ได้เสด็จเข้าไปจำพรรษา   ป่าปาริไลยกะ เพราะพวกภิกษุชาวเมืองโกสัมพีแตกสามัคคีกัน  ระหว่างที่เสด็จจำพรรษา   ที่นั่น  ท่านพระอานนท์ไม่ได้ตามเสด็จด้วย  ทรงได้รับการอุปัฏฐากจากช้างปาริไลยกะเป็นอย่างดี  จนข่าวนี้ได้เลื่องลือกันไปทั่วชมพูทวีป  บรรดาผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระองค์ท่าน มีท่านอนาถบิณฑิกะและนางวิสาขามหาอุบาสิกาเป็นต้น  ต่างก็กระหายใคร่จะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค  จึงได้ส่งข่าวไปยังท่านพระอานนท์  ขอให้ท่านนำเสด็จพระพุทธเจ้ามาให้พวกตนได้เข้าเฝ้า 
ฝ่ายพวกพระภิกษุที่อยู่อาศัยในทิศต่างๆ ประมาณ ๕๐๐ รูป  ครั้นออกพรรษาแล้วก็ได้ไปหาท่านพระอานนท์ บอกว่าพวกท่านไม่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์มาเป็นเวลานานแล้ว  ขอให้ท่านพระอานนท์ช่วยให้ได้ฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ด้วย  ท่านพระอานนท์จึงนำภิกษุเหล่านั้นไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่ป่าปาริไลยกะ  ครั้นเดินทางไปใกล้จะถึงที่ประทับ  ท่านให้ภิกษุทั้งหลายหยุดรออยู่ภายนอกก่อน  ท่านเดินไปแต่ผู้เดียว เพราะคิดว่าพระพุทธองค์ประทับแต่ลำพังพระองค์เดียวมาตั้ง ๓ เดือนแล้ว  การนำภิกษุจำนวนมากเข้าไปขณะนี้คงไม่เหมาะ  เมื่อท่านเดินไปเฝ้านั้น  ช้างปาริไลยกะไม่พอใจ  จับท่อนไม้จะทำร้ายท่าน  แต่พระพุทธองค์ทรงเห็นเสียก่อนจึงตรัสบอกแก่ช้างปาริไลยกะว่า  ภิกษุที่เดินมานั้นเป็นพุทธุปัฏฐากของพระองค์  ช้างปาริไลยกะจึงทิ้งท่อนไม้ แล้วแสดงอาการจะรับบาตรและจีวร แต่ท่านไม่ให้  ช้างจึงคอยกำหนดดูว่า หากท่านได้ศึกษาวัตรดีแล้วก็คงจักไม่วางบริขารของตนบนแผ่นศิลาที่ประทับของพระศาสดา  และก็เป็นจริงตามนั้น  คือท่านได้วางบาตรจีวรของตนลงบนพื้นดินแล้วอภิวาทพระพุทธองค์  ทูลขออนุญาตนำภิกษุเข้าเฝ้า  แล้วทูลเล่าเรื่องที่ชาวเมืองทั้งหลายต่างพากันคิดถึงพระองค์  ใคร่จะได้สดับตรับฟังธรรมจากพระองค์  แล้วในที่สุดท่านได้ทูลนิมนต์พระพุทธองค์ให้เสด็จกลับได้สำเร็จ

                ใน ปาสราสิสูตร เล่าไว้ว่า  พระภิกษุหลายรูปขอร้องให้ท่านพระอานนท์ช่วยสงเคราะห์ให้พวกตนได้ฟังธรรมีกถาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค  ท่านก็ช่วยเหลือจนพวกภิกษุเหล่านั้นได้ฟังธรรมีกถาจากพระพุทธองค์สมปรารถนา

                งานที่ลือชื่ออีกอย่างหนึ่งของท่าน คือ  ท่านเป็นต้นเหตุให้มีภิกษุณีบริษัทขึ้นในสังฆมณฑล  ดังมีเรื่องย่อว่า 
ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จไปนครกบิลพัสดุ์  (ครั้งที่พระพุทธบิดาปรินิพพาน)  ประทับอยู่ที่นิโครธาราม  พระนางปชาบดีโคตมีพระน้านางได้เข้าเฝ้าทูลขออุปสมบทถึง ๓ ครั้ง  แต่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้  พระนางเศร้าเสียพระทัยมาก  ครั้นพระพุทธองค์เสด็จออกจากนครกบิลพัสดุ์  ไปประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน นครเวสาลี  พระนางพร้อมด้วยศากยกุมารีหลายองค์ทรงปลงพระเกศา นุ่งผ้ากาสาวพัสตร์  เสด็จด้วยพระบาทเปล่าไปจนถึงที่กูฏาคารศาลา ประทับยืนร้องไห้อยู่ที่ซุ้มประตูด้านนอกพระวิหาร 
พระอานนท์มาพบพระนางมีพระวรกายเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น  พระพักตร์นองด้วยพระอัสสุชล หม่นหมอง ยืนร้องไห้อยู่เช่นนั้น ก็รู้สึกสงสาร จึงนำความไปกราบทูลให้ทรงทราบ แล้วทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงอนุเคราะห์แก่พระน้านางและพระญาติทั้งหลาย  ในตอนแรกพระองค์ทรงปฏิเสธ ไม่ทรงอนุญาต  แต่ด้วยปรีชาฉลาดในเหตุผลของท่านที่ยกเอาสิทธิของสตรีในการบรรลุธรรมในพระศาสนาขึ้นมาทูลถามว่า  หากสตรีประพฤติธรรม จะสามารถบรรลุคุณธรรมขั้นสูงได้หรือไม่  เมื่อพระพุทธองค์ตรัสตอบว่าสตรีกับบุรุษมีสิทธิเท่าเทียมกันในการบรรลุธรรม  ท่านจึงทูลว่า ถ้าเช่นนั้นก็ควรให้สตรีบวชได้  และทูลถึงเรื่องพระคุณของพระน้านางที่มีต่อพระพุทธองค์  ในที่สุดก็ทรงอนุญาต  แต่ทรงวางเงื่อนไขว่า หากพระน้านางทรงยอมรับครุธรรม ๘ ประการ พระองค์จึงจะทรงอนุญาตให้ผนวชได้  ท่านจึงนำความไปแจ้งแก่พระน้านาง  พระนางปชาบดีเมื่อได้สดับก็ทรงปลื้มพระทัย  น้อมรับเงื่อนไขทันที และที่สุดพระนางปชาบดีก็ได้ผนวชเป็นภิกษุณีรูปแรก

                ครั้งหนึ่ง  ท่านพระอานนท์เข้าไปสู่สำนักของนางภิกษุณีแห่งหนึ่งแต่เช้า  นางภิกษุณีหลายรูปมาหาท่าน  พูดกับท่านว่า  ภิกษุณีมากรูปในธรรมวินัยนี้มีจิตตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ย่อมรู้คุณวิเศษอย่างยิ่งนอกจากคุณวิเศษในกาลก่อน  ท่านยอมรับว่าข้อนั้นเป็นความจริง แล้วท่านก็แสดงธรรมให้นางภิกษุณีทั้งหลายฟังจนเห็นได้ชัด  ให้สมาทาน  ให้อาจหาญ  ให้ร่าเริง  แล้วจากไป  และเมื่อกลับไปสู่พระเชตวันที่ประทับของพระพุทธองค์  ท่านทูลเล่าเรื่องนี้ให้ทรงทราบ  พระพุทธองค์ทรงรับรองว่าเป็นอย่างที่ท่านแสดงแล้ว และได้ทรงแสดงธรรมเทศนานั้นให้ท่านฟังโดยพิสดารอีก

                นอกจากเป็นที่ปรึกษาของพวกภิกษุ  อุบาสก  อุบาสิกาแล้ว  ท่านพระอานนท์ยังเป็นขวัญใจของพวกภิกษุอาพาธอีกด้วย  ดังจะยกตัวอย่างมาเล่าไว้พอเป็นข้อสังเกต ดังต่อไปนี้

                สมัยหนึ่ง  พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปตามเสนาสนะต่างๆ  กับท่าน ได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุอาพาธรูปหนึ่ง นอนจมกองมูตรคูถของตนอยู่ จึงเสด็จเข้าไปใกล้ตรัสถามว่า เป็นโรคอะไร ?  ทำไมไม่มีใครพยาบาล ?  ภิกษุนั้นทูลว่าเป็นโรคท้องร่วง ที่ไม่มีผู้พยาบาลก็เพราะท่านไม่ได้ทำอุปการะแก่ภิกษุทั้งหลายไว้  เมื่อทรงทราบดังนั้นจึงรับสั่งให้ท่านพระอานนท์ไปตักน้ำมาถวาย  แล้วพระองค์ทรงรดน้ำอาบให้  ท่านพระอานนท์ขัดสี  พระพุทธองค์ทรงยกศีรษะ  ท่านพระอานนท์ยกเท้า  แล้ววางให้นอนบนเตียง
                และในวันนั้นเองพระพุทธองค์จึงรับสั่งให้เรียกประชุมสงฆ์  ตรัสปรารภข้อที่ไม่มีใครพยาบาลภิกษุผู้อาพาธรูปนั้นเป็นต้นเหตุ  แล้วทรงเทศนาว่า 

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอไม่มีมารดา  ไม่มีบิดา  ผู้ใดเล่าจะพึงพยาบาลพวกเธอ  ถ้าพวกเธอไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่าจักพยาบาล 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ผู้ใดจะพึงอุปัฏฐากเรา  ผู้นั้นพึงพยาบาลภิกษุอาพาธเถิด

                ครั้งหนึ่ง  ท่านพระผัคคุณะอาพาธเป็นไข้หนัก  ท่านพระอานนท์ได้ทราบจึงกราบทูลเชิญให้พระผู้มีพระภาคเสด็จไปเยี่ยมท่านผัคคุณะ  พระพุทธองค์ก็เสด็จไปเยี่ยม  ตรัสถามถึงอาการป่วยไข้ของท่านผัคคุณะ   ท่านพระผัคคุณะจึงทูลว่า  ท่านมีอาพาธแรงกล้ามาก ไม่อาจอดทนได้  มีทุกขเวทนาจัด  ลมเสียดแทงศีรษะ  เจ็บปวดเหมือนคนมีกำลังเอามีดโกนอันคมมาเฉือนศีรษะ  ปวดท้องเหมือนบุรุษฆ่าโคเอามีดชำแหละโคที่คมมาชำแหละท้องโค  เจ็บปวดเร่าร้อนทั่วกายเหมือนคนมีกำลัง ๒ คนจับแขนคนละข้างดึงไปลนย่างบนหลุมถ่านไฟ ฉะนั้น
                พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรม  ทำให้ท่านพระผัคคุณะสำเร็จเป็นพระโสดาบัน

                ครั้งหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่    พระเชตวันมหาวิหาร ใกล้นครสาวัตถี  ท่านพระอานนท์ได้ทราบว่า ท่านพระคิริมานันทะอาพาธหนัก  จึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลอาราธนาให้พระองค์เสด็จไปเยี่ยม  พระพุทธองค์ตรัสใช้ให้ท่านไปเยี่ยมแทน  และรับสั่งให้ท่านเรียนสัญญา ๑๐ ประการ เพื่อนำไปสวดให้ท่านพระคิริมานันทะฟัง   เมื่อท่านเรียนจนจำคล่องแคล่วขึ้นใจแล้วจึงทูลลาไปหาท่านพระคิริมานันทะ  สวดสัญญา ๑๐ ประการให้ฟัง  ครั้นท่านคิริมานันทะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการ  อาพาธของท่านก็สงบระงับลงทันที

                ครั้งหนึ่ง  ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นไข้หนัก ลุกจากที่นอนไม่ได้  ได้สั่งให้คนใช้ของท่านนำอาการไข้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้าที่พระเชตวัน และให้นิมนต์ท่านพระสารีบุตรไปเทศนาให้ท่านฟังด้วย  เมื่อคนใช้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า และนิมนต์ท่านพระสารีบุตรตามคำสั่งของท่านเศรษฐีแล้ว  ท่านพระสารีบุตรกับท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเยี่ยมท่านเศรษฐี  กล่าวสอนธรรมจนท่านเศรษฐีมีความพอใจในธรรม แล้วจึงลากลับ  เมื่อพระเถระทั้งสองกลับไปไม่นาน ท่านเศรษฐีก็ได้ทำกาลกิริยาตายไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต

                ครั้งหนึ่ง  ท่านสิริวัฑฒะ คฤหบดีชาวเมืองราชคฤห์ป่วยเป็นไข้หนัก  สั่งให้คนใช้ไปนิมนต์ท่านพระอานนท์ให้ไปเยี่ยม  ท่านก็ไปเยี่ยมถึงบ้านของท่านสิริวัฑฒะ  และได้ถามถึงอาการไข้  ท่านคฤหบดีก็เล่าอาการถวาย  ท่านสอนให้ท่านคฤหบดีพิจารณาเห็นกายในกาย  ให้มีความเพียร  ให้มีสติสัมปชัญญะ  กำจัดอภิชฌาและโทมนัสเสีย
                ท่านสิริวัฑฒะรับว่า ท่านมีคุณธรรมนี้ทุกประการแล้ว  และท่านพระอานนท์ก็รับรองว่า ท่านสิริวัฑฒะได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีบุคคล

                และในคราวที่มานทินนะ คฤหบดีชาวเมืองราชคฤห์ป่วยหนัก ท่านพระอานนท์ก็ได้ไปเยี่ยม และแสดงธรรมเรื่องเดียวกันนี้ให้ฟัง  ในที่สุดมานทินนคฤหบดีก็ได้สำเร็จอนาคามิผลเช่นเดียวกัน

                โดยปรกติท่านพระอานนท์เป็นคนช่างคิดและช่างสังเกต เช่น ครั้งหนึ่งท่านสังเกตเห็นพระอาทิตย์ พระจันทร์ และพระราชา แล้วนึกเปรียบเทียบว่า มีรัศมีเทียบกับพระพุทธเจ้าไม่ได้เลย  นอกจากนั้นท่านยังเป็นคนชอบศึกษาและชอบไต่ถามอีกด้วย  เรื่องที่ทูลถามพระพุทธองค์นั้นมีมากมาย ล้วนแต่เป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติทั้งสิ้น เช่นเรื่องนิโรธ  โลก  สุญญะ  เวทนา  อิทธิ  อานาปานสติ  ภวะ  อานิสงส์ของศีล  อานิสงส์ของสมาธิ  สังฆเภท  คุณธรรมของภิกษุผู้สอนธรรมแก่ภิกษุณี  คันธชาติ  ผาสุกวิหารธรรม  ลักษณะภิกษุผู้เป็นบัณฑิต  ที่เกิดของอาชาไนย  อุโบสถของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  และเหตุที่เสด็จออกผนวช อันเป็นเหตุให้ทรงแสดง ปัพพัชชาสูตร เป็นต้น
                นอกจากทูลถามปัญหาธรรมต่างๆ แล้ว ท่านยังทูลถามเหตุการณ์ที่ทำให้พระพุทธองค์ทรงแย้มพระสรวล และทรงนิ่งเฉย  หรือเมื่อท่านได้พบเหตุการณ์  สถานที่  และบุคคลที่น่าสนใจอะไรๆ  ก็ทูลถามให้ทรงเล่าให้ฟังเสมอๆ  เช่น ในคราวตามเสด็จไปถึงบ้านญาติกา ท่านได้ทูลถามถึงบุคคลต่างๆ ในบ้านนั้นซึ่งได้ตายไปแล้ว  พระพุทธองค์ก็ทรงเล่าประวัติแต่ละคนให้ท่านฟัง ว่าคนมีคุณธรรมนั้นๆ ตายแล้วไปเกิดที่นั้นๆ  ดังนี้เป็นต้น  
ครั้งหนึ่ง  ท่านไปบิณฑบาตในนครสาวัตถี  ได้เห็นรถของชาณุสโสณีพราหมณ์สวยงามมาก  ตัวรถสีขาว และเครื่องประดับรถทั้งหมดก็สีขาว  เมื่อท่านกลับจากบิณฑบาตก็ได้ทูลเรื่องนี้ให้พระพุทธองค์ทรงทราบ แล้วขอให้ทรงบัญญัติยานอันประเสริฐเช่นนั้นบ้าง  พระพุทธองค์จึงตรัสว่า อริยมรรคนั่นแหละเรียกว่า พรหมยาน ก็ได้  ธรรมยาน  ก็ได้ และ รถพิชัยสงคราม  ก็ได้
                เนื่องด้วยพรข้อ ๘  และการอยู่อุปัฏฐากอย่างใกล้ชิดกับพระพุทธองค์ ท่านจึงได้เรียนธรรมจากพระพุทธองค์ถึง ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์  ธรรมเหล่านี้พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่คนอื่นแล้วทรงเล่าให้ท่านฟังอีกครั้งหนึ่งก็มี  และที่ทรงแสดงแก่ท่านโดยตรงก็มี  ธรรมที่ทรงแสดงแก่ท่านมีปรากฏอยู่ในพระสูตรต่างๆ  เช่น อานันทสูตร  คิลานสูตร  อธิมุตติสูตร  อันธกวินทสูตร  สมาทปกสูตร  มหาปรินิพพานสูตร  มหานิทานสูตร  มหาสุทัสสนสูตร เป็นต้น
                แต่บางคราวพระพุทธองค์ทรงใช้ให้ท่านแสดงธรรมแทนพระองค์ก็มี เช่นในคราวที่เสด็จประทับอยู่   สัณฐาคารศาลา กรุงกบิลพัสดุ์  ตรัสใช้ให้ท่านแสดง เสขปฏิปทา แก่ภิกษุสงฆ์และพวกศากยะทั้งหลาย  อีกครั้งหนึ่งขณะประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี  ตรัสใช้ให้ท่านแสดง อัพภูตธรรม แก่ภิกษุทั้งหลาย
                ธรรมเทศนาที่ท่านสนทนากับภิกษุอื่นๆ แล้วนำไปกราบทูลให้ทรงทราบ  พระพุทธองค์ทรงรับรองว่า กล่าวถูกต้องดี  แล้วทรงอธิบายซ้ำแก่ท่านอีกก็มีมากมาย เช่น อานันทภัทเทกรัตตสูตร เป็นต้น
                บางทีท่านทูลให้พระองค์ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุสงฆ์ หรือสมณพราหมณ์อื่นๆ ที่ท่านเห็นว่าจะได้ประโยชน์  เช่น ทูลขอให้ทรงแสดงปาติโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลายซึ่งนั่งรอเพื่อฟังปาติโมกข์อยู่จนเมื่อยล้า  ทูลขอให้ทรงสนทนาธรรมกับสัจจกนิครนถ์ผู้เป็นนักโต้วาที สำคัญตนว่าเป็นปราชญ์ ปรารถนาจะติเตียนพระรัตนตรัย  และทูลขอให้พระพุทธองค์เสด็จไปเทศนาโปรดสังคารวพราหมณ์ชาวเมืองสาวัตถี ผู้ถือผิดว่าคนเราบริสุทธิ์ได้ด้วยน้ำ จึงถือการอาบน้ำชำระกายทั้งเช้าและเย็น
                คุณธรรมอีกอย่างหนึ่งของท่านพระอานนท์  คือเป็นผู้สุภาพอ่อนโยน มีนิสัยละมุนละไมน่ารัก ทั้งมีความเคารพยำเกรงในพระเถระผู้ใหญ่  ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเป็นที่รักของพระมหาเถระทั้งหลาย มีท่านพระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ และท่านพระมหากัสสปะเป็นต้น  และท่านได้พบปะสนทนากับพระมหาเถระเหล่านี้เนืองๆ
                ในคัมภีร์อังคุตตรนิกายได้กล่าวถึงการสนทนาธรรมระหว่างท่านกับพระสารีบุตร ไว้หลายเรื่อง  เช่น เรื่องเกี่ยวกับนิพพาน  สมาธิ  ภิกษุผู้ฉลาด  และภิกษุผู้ไม่ได้สดับ
                จากการสนทนาธรรมเหล่านี้ ท่านพระสารีบุตรผู้ซึ่งได้รับเอตทัคคะจากพระพุทธองค์ว่าเป็นยอดแห่งภิกษุผู้มีปัญญา ได้ยกย่องท่านพระอานนท์ว่า มีคุณธรรม ๖ อย่าง คือ
                  เป็นผู้ได้เรียนได้ฟังธรรมมาก
                ๒ เป็นผู้แสดงธรรมตามที่ได้เรียนได้ฟังโดยพิสดาร
                  เป็นผู้สาธยายธรรมโดยพิสดาร
                  เป็นผู้ตรึกตรองเพ่งพิจารณาธรรม
                  เป็นผู้อยู่ใกล้กับพระเถระผู้พหูสูต ผู้ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา
                  ท่านได้เข้าหาท่านเหล่านั้น เพื่อเรียนถามข้อที่ควรถามในกาลอันสมควร

                ท่านพระอานนท์มีความเคารพรักในท่านพระสารีบุตรมาก ท่านได้เคยเก็บอดิเรกจีวรซึ่งเกิดแก่ท่านไว้ถวายแก่ท่านพระสารีบุตร อันเป็นต้นเหตุให้ทรงอนุญาตให้เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้ ๑๐ วัน
                เมื่อท่านได้ทราบข่าวการปรินิพพานของท่านพระสารีบุตรจากสามเณรจุนทะอุปัฏฐากของท่านพระสารีบุตร ท่านเสียใจมาก ได้นำความกราบทูลพระผู้มีพระภาค บรรยายความเสียใจถวายว่า  กายของท่านประหนึ่งจะงอมระงมไป  แม้ทิศทั้งหลายก็ไม่ปรากฏแก่ท่าน  ธรรมก็ไม่แจ่มแจ้งแก่ท่าน เพราะการปรินิพพานของท่านพระสารีบุตร  พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงธรรมแก่ท่านเพื่อปลดเปลื้องความเศร้าเสียใจในโอกาสนี้โดยพิสดาร
                ใน เถรคาถา กล่าวถึงถ้อยคำของท่านพระอานนท์ไว้ตอนหนึ่งว่า  เมื่อท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ผู้เป็นกัลยาณมิตรนิพพานไปแล้ว โลกทั้งหมดนี้ปรากฏแก่ท่านเหมือนมืดมน
                ท่านพระอานนท์มีความเคารพรักในท่านพระมหากัสสปเถระมาก แม้แต่ชื่อของท่านพระมหากัสสปะท่านก็ไม่ยอมระบุ ดังมีเรื่องเล่าไว้ว่า  ครั้งหนึ่ง ท่านพระมหากัสสปะจะอุปสมบทกุลบุตร จึงส่งคนให้ไปนิมนต์ท่านพระอานนท์มาสวดอนุสาวนา  ท่านไม่รับ โดยให้เหตุผลว่า ท่านไม่อาจระบุชื่อของท่านพระมหากัสสปะได้ เพราะท่านพระมหากัสสปะเป็นที่เคารพของท่าน  เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องนี้เข้า จึงทรงบัญญัติให้สวดอนุสาวนาระบุชื่อโคตรกันได้  และในการสนทนากับท่านพระมหากัสสปเถระท่านใช้คำว่า ภนฺเต (ข้าแต่ท่านผู้เจริญ) เสมอ


สำเร็จพระอรหัตผล


                เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว  ท่านพระมหากัสสปเถระได้รับอนุมัติจากสงฆ์ให้เลือกพระภิกษุผู้เชี่ยวชาญในพระธรรมวินัยจำนวน ๕๐๐ รูป เพื่อทำปฐมสังคายนา  ท่านพระมหากัสสปเถระเลือกได้ ๔๙๙ รูป  อีก ๑ รูปท่านไม่ยอมเลือก   ความจริงท่านต้องการจะเลือกเอาท่านพระอานนท์  แต่ขณะนั้นท่านพระอานนท์ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์  ครั้นจะเลือกท่านพระอานนท์ ก็เกรงจะถูกครหาว่าเห็นแก่หน้า  เพราะท่านรักพระอานนท์มาก  แต่ครั้นจะเลือกภิกษุอื่น ไม่เลือกท่านพระอานนท์ ก็เกรงว่าการทำสังคายนาครั้งนี้จักไม่สำเร็จผลด้วยดี เพราะท่านพระอานนท์ได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นพหุสูต เป็นธรรมภัณฑาคาริก  จึงได้ระบุชื่อพระเถระอื่นๆ ๔๙๙ รูป  แล้วนิ่งเสีย  ต่อพระสงฆ์ลงมติว่าท่านพระอานนท์ควรจะเข้าร่วมทำสังคายนาครั้งนี้ด้วย  ท่านจึงได้รับเข้าเป็นคณะสงฆ์ผู้จะทำสังคายนา ครบจำนวน ๕๐๐ รูป
                เมื่อได้รับคัดเลือกแล้ว ท่านได้เดินทางจากนครกุสินารากลับไปยังนครสาวัตถีอีก  ในระหว่างทางท่านได้แสดงธรรมแก่ประชาชนจำนวนมากที่เศร้าโศกเสียใจเพราะการปรินิพพานของพระพุทธองค์  เมื่อถึงพระเชตวันมหาวิหาร ท่านก็ได้ปฏิบัติปัดกวาดพระคันธกุฎีเสมือนเมื่อพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่  นอกจากปฏิบัติพระคันธกุฎีแล้วท่านได้ใช้เวลาส่วนมากให้หมดไปด้วยการยืนและนั่ง  ไม่ค่อยจะได้จำวัด  ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ท่านไม่สบาย ต้องฉันยาระบายเพื่อให้กายเบา  ครั้นให้ปฏิสังขรณ์เสนาสนะที่ชำรุดในพระเชตวันสำเร็จแล้ว  พอใกล้วันเข้าพรรษาจึงได้ออกเดินทางไปสู่กรุงราชคฤห์  เพื่อร่วมทำสังคายนา  เมื่อถึงแล้วท่านได้ทำความเพียรอย่างหนักเพื่อให้สำเร็จพระอรหัตผลก่อนการทำสังคายนา แต่ก็ยังไม่สำเร็จ  เพื่อนๆ ได้ตักเตือนท่านว่า ในวันรุ่งขึ้นท่านจะต้องเข้าไปนั่งในสังฆสันนิบาตแล้ว ท่านยังเป็นเสขบุคคลอยู่  ขอให้ทำความเพียร  อย่าประมาท
                ในคืนนั้น ท่านได้เดินจงกรม  กำหนดกายคตาสติ  จนจวบปัจจุสมัยใกล้รุ่งจึงลงจากที่จงกรม  หมายใจจะหยุดนอนพักผ่อนในวิหารสักครู่ก่อน แต่พอเอนกายลงนอน ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอนและเท้าทั้งสองยังไม่พ้นจากพื้นก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
                ครั้นถึงเวลาประชุมทำสังคายนา พระเถระอื่นๆ ก็พากันไปยังธรรมสภา   ถ้ำสัตตบรรณคูหากันอย่างพร้อมเพรียง  และต่างรูปต่างก็นั่งอยู่ ณ อาสนะแห่งตนๆ  แต่อาสนะของท่านพระอานนท์ยังว่างอยู่  เพราะท่านพระอานนท์คิดใคร่จะประกาศให้พระเถระทั้งหลายได้ทราบว่าท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงไม่ได้ไปพร้อมกับพระเถระอื่นๆ  เมื่อกำหนดกาลเวลาพอเหมาะแล้วท่านจึงแทรกดินลงไป และผุดขึ้น   อาสนะแห่งตน  แต่บางท่านกล่าวว่า ท่านเหาะไปทางอากาศ แล้วลงบนอาสนะของท่าน
                ในอรรถกถาเถรคาถากล่าวไว้อีกนัยหนึ่งว่า  พรหมสุทธาวาสองค์หนึ่งได้ไปประกาศในที่ประชุมสงฆ์สังคีติกาจารย์ว่า ท่านพระอานนท์ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว
                ว่ากันว่าพระอานนทเถระไม่เคยเหยียดหลังบนเตียงตลอด ๑๕ ปีจนปรินิพพาน


บทบาทในปฐมสังคายนา


                เมื่อท่านไปปรากฏตัวในสังฆสันนิบาตนั้นแล้ว  ท่านพระมหากัสสปะก็ปรึกษากับสงฆ์ทั้งปวงว่าจะสังคายนาอะไรก่อน และจะให้ใครวิสัชนาอะไร  ที่ประชุมตกลงให้สังคายนาพระวินัยก่อน และเสนอให้ท่านพระอุบาลีวิสัชนาพระวินัยปิฎก และให้ท่านพระอานนท์วิสัชนาพระธรรม
                ในการประชุมสังฆสันนิบาตครั้งนั้น  ท่านพระอานนท์ถูกพระเถระทั้งหลายปรับอาบัติทุกกฏ   กระทง  ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าท่านไม่ผิด  แต่ท่านก็ยอมรับและยอมแสดงอาบัติทุกกฏนั้นๆ ทุกกระทง  คือ
                  พระเถระทั้งหลายโจทท่านว่า  เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสให้ถอดถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้บ้าง  แต่ท่านไม่ทูลถามว่าได้แก่อะไรบ้าง  นี่แหละเป็นอาบัติทุกกฏ  ขอให้ท่านแสดงอาบัติเสีย  ท่านตอบว่า กระผมระลึกไม่ได้ และไม่เห็นว่าการไม่ทูลถามนี้จะเป็นอาบัติทุกกฏ  แต่เพราะเชื่อท่านทั้งหลาย กระผมยอมแสดงอาบัตินั้น
                  พระเถระทั้งหลายโจทว่า  เวลาท่านเย็บผ้าวัสสิกสาฎกของพระผู้มีพระภาค  ท่านเอาเท้าเหยียบผ้าวัสสิกสาฎกนั้น ข้อนี้เป็นอาบัติทุกกฏ  ขอให้แสดงอาบัตินั้นเสีย  ท่านตอบว่า  กระผมเหยียบโดยความไม่เคารพก็หามิได้  จึงเห็นว่าไม่เป็นอาบัติ  แต่เพราะเชื่อท่านทั้งหลาย กระผมยอมแสดงอาบัตินั้น
                  พระเถระทั้งหลายโจทว่า  ข้อที่ท่านให้มาตุคามเข้าถวายอภิวาทพระสรีระของพระผู้มีพระภาคก่อน  พระสรีระย่อมเปื้อนด้วยน้ำตาของพวกนางที่ร้องไห้นั้น เป็นอาบัติทุกกฏด้วย  ขอให้แสดงเสีย  ท่านตอบว่า  กระผมคิดว่ามาตุคามนี้จะได้ไม่ต้องกลับบ้านค่ำเกินไป จึงให้เข้าก่อน และเห็นว่าไม่เป็นอาบัติ  แต่เพราะเชื่อท่านทั้งหลาย  กระผมยอมแสดงอาบัตินั้น
                  พระเถระทั้งหลายโจทว่า  ข้อที่ท่านไม่ทูลนิมนต์ให้พระผู้มีพระภาคทรงอยู่ต่อไปจนตลอดกัปเมื่อพระองค์ทรงทำนิมิตโอภาสนั้น เป็นอาบัติทุกกฏ  ขอให้แสดงเสีย  ท่านตอบว่า  กระผมถูกมารดลใจ จึงไม่ได้ทูลอาราธนา  และเห็นว่าไม่เป็นอาบัติ  แต่เพราะเชื่อท่านทั้งหลาย กระผมยอมแสดงอาบัตินั้น
                  พระเถระทั้งหลายโจทว่า  ข้อที่ท่านขวนขวายให้มาตุคามบวชในธรรมวินัยนั้น เป็นอาบัติทุกกฏ  ขอให้แสดงเสีย  ท่านตอบว่า  ที่กระผมขวนขวายให้มาตุคามบวชในธรรมวินัยนี้ ก็เพราะเห็นว่าพระนางปชาบดีโคตมีนี้เป็นพระเจ้าแม่น้าของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ประคับประคองเลี้ยงดู ทรงประทานขีรธาราแก่พระผู้มีพระภาคเมื่อพระพุทธมารดาทิวงคต  กระผมเห็นว่าไม่เป็นอาบัติ  แต่เพราะเชื่อท่านทั้งหลาย กระผมยอมแสดงอาบัตินั้น

                หลังจากทำปฐมสังคายนาแล้ว ท่านพระอานนท์ได้แจ้งให้พระเถระทั้งหลายทราบว่า  พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งกับท่านว่า ให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันทะ  พระเถระทั้งหลายจึงมอบให้ท่านไปลงพรหมทัณฑ์ตามรับสั่ง
ท่านพระอานนท์พร้อมกับภิกษุ ๕๐๐ รูป ได้โดยสารเรือไปจนถึงนครโกสัมพี ที่พระฉันนะอาศัยอยู่  เมื่อขึ้นจากเรือแล้วได้เข้าพักอาศัยอยู่ใต้โคนไม้ ใกล้พระราชอุทยานของพระเจ้าอุเทน ราชาแห่งนครโกสัมพี  ขณะนั้นพระเจ้าอุเทนกับพระมเหสีประทับอยู่ในพระราชอุทยาน  พระมเหสีของพระเจ้าอุเทนพอทรงทราบว่าท่านพระอานนท์มา ก็ทรงโสมนัส ทูลลาพระสามีไปเยี่ยมท่าน  และเมื่อได้ฟังธรรมจากท่านแล้ว มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายจีวร ๕๐๐ ผืน  ครั้นพระเจ้าอุเทนทรงทราบเรื่องนี้ก็ไม่ทรงพอพระทัย  ทรงติเตียนว่า ท่านพระอานนท์จะไปตั้งร้านค้าจีวรหรืออย่างไร  แล้วเสด็จไปหาท่าน  คำตรัสถามของพระเจ้าอุเทนและคำทูลตอบของท่านพระอานนท์ มีดังต่อไปนี้
จะเอาผ้าเหล่านี้ไปทำอะไร
                จะถวายแก่ภิกษุทั้งหลายผู้มีจีวรเก่าคร่ำคร่า
                จะเอาจีวรเก่าคร่ำคร่านี้ไปทำอะไร
                เอาไปทำเพดาน
                จะเอาเพดานเก่าไปทำอะไร
                เอาไปทำผ้าปูที่นอน
                จะเอาผ้าปูที่นอนเก่าไปทำอะไร
                เอาไปทำเป็นผ้าปูพื้น
                จะเอาผ้าปูพื้นเก่าไปทำอะไร
                เอาไปทำผ้าเช็ดเท้า
                เอาผ้าเช็ดเท้าเก่าไปทำอะไร
                เอาไปทำผ้าเช็ดธุลี
                จะเอาผ้าเช็ดธุลีเก่าไปทำอะไร
                เอาไปโขลกขยำกับโคลน แล้วฉาบทาฝา 

                พระเจ้าอุเทนทรงเลื่อมใสว่า พระศากยบุตรทั้งหลายรู้จักประหยัดในการใช้ผ้าดีมาก  จึงได้ถวายจีวรอีก ๕๐๐ ผืน แล้วทรงลาท่านพระอานนท์เสด็จกลับ
                จากนั้น ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปหาพระฉันนะที่โฆสิตาราม บอกพระฉันนะว่า  สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์แก่ท่านแล้ว  พระฉันนะพอได้ยินก็เสียใจ เป็นลมล้มลงกับพื้น  แต่ต่อมาไม่นานพระฉันนะก็ได้สำเร็จพระอรหัต และพ้นจากพรหมทัณฑ์


พระผู้มีน้ำใจ


                เมื่อมีเอกลาภเกิดขึ้น  ท่านพระอานนท์ก็มักจะแจกแบ่งถวายแก่พระเถระอื่นๆ  เช่นถวายแก่ท่านพระสารีบุตรเป็นต้น หรือไม่ก็ถวายแก่สัทธิวิหาริกของท่านเองผู้ซึ่งได้มีอุปการะต่อท่าน  ดังเช่นมีเรื่องเล่าไว้ว่า 
ท่านมีสัทธิวิหาริกประมาณ ๕๐๐ รูป ในจำนวนนี้มีภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งได้อุปัฏฐากท่านด้วยดี เช่น กวาดบริเวณ  ตั้งน้ำฉันน้ำใช้  ถวายไม้สีฟันและน้ำล้างหน้า  ปัดกวาดเวจกุฎี  เรือนไฟ และเสนาสนะทั้งหลาย  นวดมือเท้าและหลังเป็นต้น  ท่านเห็นว่าภิกษุรูปนี้มีอุปการะต่อท่านมาก  ท่านจึงถวายจีวร ๕๐๐ ผืน ซึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงถวายท่านให้แก่ภิกษุหนุ่มรูปนี้  แล้วภิกษุหนุ่มรูปนี้ก็นำจีวรเหล่านี้ไปแจกแบ่งแก่ภิกษุทั้งหลายผู้บวชร่วมอุปัชฌาย์เดียวกัน 
ภิกษุทั้งหลายกล่าวหาว่า ท่านให้ของด้วยเห็นแก่หน้า  จึงนำความขึ้นกราบทูลพระผู้มีพระภาค  พระองค์ตรัสเล่าเรื่องที่เป็นจริงให้แก่ภิกษุเหล่านั้นฟัง  ภิกษุทั้งหลายจึงหมดสงสัย


บั้นปลายชีวิต


                ในบั้นปลายแห่งชีวิต ท่านพระอานนท์ดูเหมือนจะใช้เวลาส่วนมากให้หมดไปด้วยการอบรมสั่งสอนประชาชน และฝึกฝนชายหนุ่มทั้งหลาย  ในจำนวนนี้ก็มี ทสมะแห่งอัฏฐกนคร  โคปกโมคคัลลานะ และ สุภโตเทยยบุตร เป็นต้น
                ประมาณ พ.ศ. ๔๐ เมื่อท่านพระอานนท์มีอายุได้ ๑๒๐ พรรษา ก็ทราบว่าท่านหมดอายุขัยลงแค่นี้แล้ว  จึงแจ้งแก่คนทั้งหลายว่า  นับจากวันนั้นไปอีก ๗ วันท่านจะปรินิพพาน  เมื่อประชาชนทั้งหลายที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโรหิณีทั้งสองฝั่งได้ทราบเข้า จึงพากันไปยังฝั่งแม่น้ำโรหิณี (แสดงว่าขณะนั้นท่านพระอานนท์พำนักอยู่ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งในแคว้นสักกะ ทั้งนี้เพราะแม่น้ำโรหิณีเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างเมืองศากยะกับเมืองโกลิยะ)  ต่างฝ่ายต่างก็แสดงความจำนงให้ท่านพระอานนท์ไปปรินิพพานที่ฝั่งของพวกตนแต่ฝ่ายเดียว โดยอ้างเหตุว่าพระเถระมีอุปการะมากแก่พวกตน  แต่อีกฝ่ายไม่ยอมโดยอ้างเหตุผลเช่นเดียวกัน 
ท่านเห็นว่าจะเกิดโกลาหลกันขึ้นแน่หากจะไปปรินิพพานที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  จึงได้เข้าเตโชกสิณเหาะขึ้นบนอากาศเหนือแม่น้ำโรหิณี  แสดงธรรมแก่ประชาชนทั้งสองฝั่งน้ำ แล้วอธิษฐานให้สารีริกธาตุของท่านแตกออกเป็น ๒ ส่วน  ตกลงบนฝั่งแม่น้ำฝั่งละหนึ่งส่วน  พอขาดคำอธิษฐานเปลวไฟได้ลุกขึ้นเผาไหม้สรีระของท่านจนเหลือแต่สารีริกธาตุแตกออกเป็น ๒ ส่วน ตกลงบนฝั่งทั้งสอง  มหาชนได้พากันเศร้าโศกปริเทวนาการดุจแผ่นดินจะถล่มทลาย  คล้ายเมื่อกาลที่พระผู้มีพระภาคปรินิพพานฉะนั้น
                แต่หลักฐานบางแห่งเล่าความตอนนี้ต่างออกไปว่า  เมื่อท่านทราบวันที่จะปรินิพพานแน่แล้ว จึงได้ออกเดินทางจากแคว้นมคธผ่านไปทางนครเวสาลีเพื่อไปนิพพานที่ฝั่งแม่น้ำโรหิณี  พอพระเจ้าอชาตศัตรูทรงทราบข่าวนี้ก็เสด็จติดตามท่านไปจนถึงฝั่งแม่น้ำโรหิณีพร้อมด้วยข้าราชบริพารจำนวนมาก  ข้างฝ่ายพวกเจ้าลิจฉวีแห่งแคว้นวัชชีเมื่อทรงทราบข่าวนี้ ก็เสด็จติดตามไปจนถึงฝั่งแม่น้ำโรหิณีพร้อมด้วยข้าราชบริพารจำนวนมากเช่นเดียวกัน  ทั้งสองฝ่ายได้พักอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ  ต่างมุ่งมาดปรารถนาจะได้สารีริกธาตุของพระเถระไปบูชาสักการะเฉพาะพวกของตน  ท่านพระอานนท์มองเห็นว่าเหตุการณ์วุ่นวายโกลาหลจะเกิดขึ้น  จึงได้เข้าเตโชกสิณลอยขึ้นบนอากาศเหนือแม่น้ำโรหิณี  แล้วเปลวไฟก็ลุกขึ้นเผาไหม้สรีระของท่านจนเหลือแต่สารีริกธาตุ แตกออกเป็นสองส่วน ตกลงสู่ฝั่งแม่น้ำทั้งสองฝั่ง ฝั่งละหนึ่งส่วน  กษัตริย์และประชาชนทั้งสองฝั่งจึงได้สร้างพระเจดีย์ขึ้นไว้เพื่อสักการบูชา    ฝั่งของตนๆ


อดีตชาติของพระอานนท์

                ในคัมภีร์อปทานบอกไว้ว่า  ท่านเคยเกิดเป็นท้าวสักกเทวราชมาแล้ว ๓๔ ชาติ  เคยเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิมาแล้ว ๕๘ ชาติ  เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ๘๐๐ ชาติ
                ในชาดกได้กล่าวถึงชาติกำเนิดในอดีตชาติของท่านไว้มากมาย ทั้งที่เป็นมนุษย์  เทวดา และสัตว์เดรัจฉาน  คือ
                ก. เคยเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์ เช่น ๑ เป็นสุริยกุมาร (เทวธัมมชาดก)  ๒ เป็นจูฬโลหิตะ (มุณิกชาดก) ๓ เป็นปัชชุนะ (มัจฉชาดก)  ๔ เป็นกาฬกัณณิ (กาฬกัณณิชาดก)  ๕ เป็นราธะ (ราธชาดก)  ๖ เป็นโปฏฐปาทะ (ราธชาดก ๒)  ๗ เป็นคามณิจัณฑะ (คามณิจัณฑชาดก)  ๘ เป็นจุลลโลหิตะ (สาลูกชาดก)  ๙ เป็นทุพภิเสนะ (ทัพพเสนะ)  (เอกราชชาดก)  ๑๐ เป็นโปฏฐปาทะ (กลาพุชาดก)  ๑๑ เป็นพาราณสีเศรษฐี  (ปีฐชาดก)  ๑๒ เป็นวิเทหดาบส (คันธารชาดก)  ๑๓ เป็นสุมังคละ (สุมังคชาดก)   ๑๔ เป็นอนุสิสสะ (อินทรียชาดก)  ๑๕ เป็นมัณทัพยะ (กัณหทีปายนชาดก)  ๑๖ เป็นโปติกะ (นิโครธชาดก)   ๑๗ เป็นปัญจสิขะ (พิฬารโกสิยชาดก)   ๑๘ เป็นโรหิเนยยะ (ฆตชาดก)   ๑๙ เป็นยุธิฏฐิละ (ยุวัญชนชาดก)   ๒๐ เป็นภรตกุมาร (ทสรถชาดก)   ๒๑ เป็นมาตลิ (มหากัณหชาดก, สุธาโภชนชาดก, เนมิราชชาดก, กุลาวกชาดก, สาธินราชชาดก)   ๒๒ เป็นกาลิงคะ (กาลิงคโพธิชาดก, สาธินราชชาดก)   ๒๓ เป็นวิสสุกัมมะ (สุรุจิชาดก)   ๒๔ เป็นสัมภูตดาบส (จิตตสัมภูตชาดก)  ๒๕ เป็นจิตตมิคะ (โรหนมิคชาดก)   ๒๖ เป็นสุมุขะ (หังสชาดก)   ๒๗ เป็นอนุสิสสดาบส (สรภังคชาดก)   ๒๘ เป็นโสมทัตตกุมาร (จุลลสุตโสมชาดก)   ๒๙ เป็นสุนันทสารถี (อุมมาทันตีชาดก)   ๓๐ เป็นชยัมบดีราชกุมาร (กุสชาดก)   ๓๑ เป็นนันทะ (โสณนันทชาดก)   ๓๒ เป็นสุมุขะ (จุลหังสชาดก, มหาหังสชาดก)   ๓๓ เป็นนันทพราหมณ์ (มหาสุตโสมชาดก)   ๓๔ เป็นโสมทัตตะ (ภูริทัตตชาดก)   ๓๕ เป็นช่างตัดผม (มฆเทวชาดก)   ๓๗ เป็นศิษย์ของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ (อสาตมันตชาดก)   ๓๗ เป็นหัวหน้าโจร (ตัตถชาดก)   ๓๘ เป็นพราหมณ์ (สารัมภชาดก, นานาฉันทชาดก, ปลาสชาดก, ชุณหชาดก, สาลิเกทารชาดก, เสนกชาดก, นันทิวิสาลชาดก, ปีฐชาดก, คามมณีจันทชาดก)   ๓๙ เป็นรุจาเทวดา (กุสนาฬิชาดก)   ๔๐ เป็นนายหัตถาจารย์ (สุเมธชาดก)   ๔๑ เป็นน้องชายของพระโพธิสัตว์ (มณิคัณฐชาดก)   ๔๒ เป็นคนชาวปัจจันตชนบท (มหาอัสสาโรหชาดก)   ๔๓ เป็นอุปัฏฐาก (สังขชาดก)   ๔๔ เป็นชายคนหนึ่งในจำนวนพี่น้อง ๗ คน (ภสกชาดก)   ๔๕ เป็นนายแพทย์สีวกะ(สีวิราชชาดก)  ๔๖ เป็นช่างศร (มหาชนกชาดก)   ๔๗ เป็นปุโรหิต (ปรันตปชาดก)
                ข. เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หลายชาติ เช่น  ๑ เป็นนกแขกเต้า(สัจจังกิรชาดก, มโหสถชาดก, ราธชาดก)   ๒ เป็นสุนัขจิ้งจอก (คุณชาดก)   ๓ เป็นหงส์บิดา (วีนีลกชาดก)   ๔ เป็นเต่า (กัจฉปชาดก)   ๕ เป็นพญาเหี้ย (จุลลปทุมชาดก)   ๖ เป็นนาก (สสบัณฑิตชาดก)  ๗ เป็นหงส์หนุ่ม (เนรุชาดก)   ๘ เป็นปู (สุวัณณกักกฏกชาดก)   ๙ เป็นพญานาค (มหาปทุมชาดก)  ๑๐ เป็นสุนัขสีเหลือง (มหาโพธิชาดก)   ๑๑ เป็นพญาแร้ง (กุณาลชาดก)   ๑๒ เป็นวานรจุลลนันทิยะ (จุลลนันทิยชาดก)   ๑๓ เป็นโปฏฐปาทวานร (กาฬพาหุชาดก)   ๑๔ เป็นช้างโอฏฐิพยาธิ (ทัฬหธัมมชาดก)
                . เคยเกิดเป็นพระราชา หลายชาติ  ซึ่งมีปรากฏอยู่ในชาดกต่างๆ เหล่านี้ คือ
                ๑ กัจฉปชาดก   ๒ กัลยาณธัมมชาดก   ๓ กากชาดก (พระเจ้ากรุงพาราณสี)    ๔ กุกกุชาดก (พระเจ้ากรุงพาราณสี)   ๕ กุกกุรชาดก   ๖ กุณฑกกุจฉิสินธวชาดก   ๗ กุททาลชาดก    ๘ กุมภชาดก    ๙ เกสวชาดก    ๑๐ โกสิยชาดก  
๑๑ คัคคชาดก (ภัคคชาดก)   ๑๒ คังคมาลชาดก (พระเจ้าอัฑฒมาสกะ)   ๑๓ คิริทันตชาดก    ๑๔ คุตติลชาดก    ๑๕ ฆตชาดก (พระเจ้าวังกะ)  
๑๖ จุลลโพธิชาดก    ๑๗ ฉวกชาดก    ๑๘ ชวนหังสชาดก    ๑๙ ชุณหชาดก  
๒๐ ตจสารชาดก (พระเจ้ากรุงพาราณสี)    ๒๑ ติฏฐชาดก    ๒๒ ติริติวัจฉชาดก    ๒๓ ตุณฑิลชาดก    ๒๔ เตสกุณชาดก  
๒๕ ทสพราหมณชาดก    ๒๖ ทูตชาดก    ๒๗ ธังกชาดก    ๒๘ ธูมการีชาดก (พระเจ้าโกรัพยะ)    ๒๙ นันทิยมิคชาดก    ๓๐ นิโครธมิคชาดก  
๓๑ ปัพพตูปัตถรชาดก    ๓๒ ปุณณนทีชาดก    ๓๓ พรหมทัตตชาดก    ๓๔ พันธนโมกขชาดก    ๓๕ ภัคคชาดก (คัคคชาดก)    ๓๖ ภัททสาลชาดก    ๓๗ ภิกขาปรัมปรชาดก    ๓๘ โภชาชานียชาดก  
๓๙ มหากปิชาดก (พระเจ้ากรุงพาราณสี)    ๔๐ มหาสารชาดก    ๔๑ มหาสุปินชาดก    ๔๒ มหิฬามุขชาดก    ๔๓ มาตุโปสกชาดก (มาติโปสกชาดก)    ๔๔ มิตตามิตตชาดก    ๔๕ โมรชาดก
๔๖ ราโชวาทชาดก (ทุกนิบาต)(พระเจ้าพัลลิกะ)    ๔๗ ราโชวาทชาดก (จตุกกนิบาต)(พระเจ้ากรุงพาราณสี)    ๔๘ รุรุชาดก    ๔๙ วาโลทกชาดก    ๕๐ วิธูรปัณฑิตชาดก (พระเจ้าธนัญชยะ)       
๕๑ สรภชาดก    ๕๒ สังกัปปราคชาดก    ๕๓ สังเขปชาดก (พระเจ้ากรุงพาราณสี)    ๕๔ สังคามาวจรชาดก    ๕๕ สัตติคุมพชาดก    ๕๖ สัมมภวชาดก (พระเจ้าธนัญชยะ)   ๕๗ สัยหชาดก    ๕๘ สามชาดก    ๕๙ สาลิตตกชาดก    ๖๐ สิริชาดก    ๖๑ สุตนชาดก (พระเจ้ากรุงพาราณสี)    ๖๒ สุปัตตชาดก    ๖๓ สุสิมชาดก    ๖๔ สุสันธีชาดก    ๖๕ เสยยชาดก    ๖๖ อาชัญญชาดก  
๖๗ อภิณหชาดก    ๖๘ อหริตจชาดก    ๖๙ อัฏฐสัททชาดก   ๗๐ อัฏฐานชาดก    ๗๑ อัฏฐิเสนชาดก (พระเจ้ากรุงพาราณสี)    ๗๒ อัพภันตรชาดก    ๗๓ อัมพชาดก    ๗๔ อาวาริยชาดก (พระเจ้ากรุงพาราณสี)    ๗๕ อีลลีสชาดก    ๗๖ อุททาลกชาดก    ๗๗ เอกปัณณ    ๗๘ เอกราชชาดก    
                ง. เคยเป็นหญิง ก็มี เช่น ในมหานารทกัสสปชาดก เป็นต้น ในธัมมปทัฏฐกถาเล่าไว้ว่า ท่านพระอานนท์เคยเกิดเป็นหญิงบาทบริจาริกาของชายอื่นอยู่ถึง ๑๔ ชาติ  ทั้งนี้เพราะชาติก่อนหน้านั้นท่านได้เกิดในตระกูลช่างทอง แล้วทำชู้กับภริยาของชายอื่น  ครั้นตายจากนั้นไปเกิดในนรก  จากนั้นจึงไปเกิดเป็นหญิงถึง ๑๔ ชาติ  และในชาติที่ ๑๗ ท่านถูกเขาตอน

No comments:

Post a Comment