Saturday, August 13, 2011

07.พระพุทธเจ้า 28 พระองค์

พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์

ข้อมูลช่วงที่ ๒ - รายการที่ 6 - 10  สนมนารี - พาหนะในวันออกผนวช


พระพุทธเจ้า

สนมนารี

มเหสี    

พระโอรส
พาหนะในวันออกผนวช
1 ตัณหังกร



คชสาร
2 เมธังกร



คชสาร
3 สรณังกร



คชสาร
4
ทีปังกร

สามแสน

ปทุมา

อุสภขันธกุมาร

คชสาร
5 
โกณฑัญญะ

สามแสน

รุจิเทวี

วิชิตเสน

ราชรถ
6
มังคละ

สามหมื่น

ยสวดี

สีวละ


อัศวราชยาน
7
สุมนะ

หกล้านสามแสน

วฏังสกี

อนูปมะ

คชสาร
8
เรวตะ
สามโกฏิ
สามแสน

สุทัสนา

วรุณ

ราชรถ
9
โสภิต

สี่หมื่นสามพัน

มกิลา (มนิลา)

สีหะ
ออกผนวชพร้อมทั้งปราสาท
10
อโนมทัสสี

สองหมื่นสามพัน

สิริมา


อุปสาละ

วอทอง
11
ปทุมะ

สามหมื่นสามพัน

อุตตรา

รัมมะ


ราชรถ
12
นารทะ

สี่หมื่นสามพัน

วิชิตเสนา

นันทุตตระ
ทรงดำเนิน
ด้วยพระบาท
13
ปทุมุตตระ

สี่หมื่นสามพัน
วสุลทัตตา (วสุทัตตา)

อุตระ
ออกผนวชพร้อมทั้งปราสาท




พระพุทธเจ้า

สนมนารี

มเหสี    

พระโอรส
พาหนะในวันออกผนวช
14
สุเมธ

สี่หมื่นแปดพัน

สุมนา
ปุนัพพะ (ปุนัพ-พสุ / สุมิตตะ)

คชสาร
15
สุชาตะ

สองหมื่นสามพัน

สิรินันทา

อุปเสน

อัศวราชยาน
16
ปิยทัสสี

สามหมื่นสามพัน

วิมลา

กัญจนาเวฬะ

ราชรถ
17
อัตถทัสสี

สามหมื่นสามพัน

วิสาขา

เสละ

อัศวราชยาน
18
ธัมมทัสสี

สี่หมื่น

วิจิโกลี

ปุญญวัฑฒนะ
ออกผนวชพร้อมทั้งปราสาท
19
สิทธัตถะ

สี่หมื่นแปดพัน

สุมนา

อนูปมะ

วอทอง
20
ติสสะ

สามหมื่น

สุภัททา

อานันทะ

อัศวราชยาน
21
ปุสสะ

สองหมื่นสามพัน

กีสาโคตมี

อานันทะ

คชสาร
22
วิปัสสี

สี่หมื่นสามพัน

สุทัสนา

สมวัตตขันธ์

ราชรถ
23
สิขี

สองหมื่นสี่พัน

สรรพกามา

อตุละ

คชสาร
24
เวสสภู

สามหมื่น

สุจิตรา

สุปปพุทธะ

วอทอง
25
กกุสันธะ

สามหมื่น

โรปินี

อุตระ

รถ
26
โกนาคมน์

หมื่นหกพัน
รุจิคุตตาพราหมณี

สัตถวาหะ

ช้าง







พระพุทธเจ้า

สนมนารี

มเหสี    

พระโอรส
พาหนะในวันออกผนวช
27
กัสสป

สี่หมื่นแปดพัน

สุนันทาพราหมณี

วิชิตเสน
ออกผนวชพร้อมทั้งปราสาท
28
โคตมะ

สี่หมื่น

ยโสธรา

ราหุล

อัศวราชยาน

จบข้อมูลช่วงที่ ๒ - รายการที่ 6 - 10  สนมนารี - พาหนะในวันออกผนวช





ขยายความเรื่องออกผนวชพร้อมทั้งปราสาท


พระโสภิตพุทธเจ้า

             พระโพธิสัตว์โสภิต ทรงเกิดความคิดที่จะออกอภิเนษกรมณ์ว่า  ขอปราสาทที่ประดับตกแต่งแล้วนี้จงลอยไปต่อหน้ามหาชนที่กำลังดูอยู่นี่แล แล้วลอยลงเหนือพื้นดิน กระทำโพธิพฤกษ์ไว้ตรงกลาง  และเมื่อเรานั่ง    โคนโพธิพฤกษ์  เหล่าสตรีที่อยู่ในปราสาทนั้น ไม่ต้องมีคนบอก จงลงจากปราสาทไปเองเถิด  
พร้อมกับที่ทรงดำริดังนี้ ปราสาทก็ลอยขึ้นจากพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุธัมมราช  ละลิ่วขึ้นสู่ท้องนภา เฉกเช่นอัญชันบรรพตสีเขียวคราม  ปราสาทนั้นมีพื้นตกแต่งด้วยพวงดอกไม้ส่งกลิ่นหอมอบอวล ราวกับประดับประดาทั่วพื้นอัมพร รุ่งโรจน์ดั่งดวงทินกรที่สาดแสงกระทบผิวพื้นธารทอง  และดุจดวงรัชนีกรในสารทฤดู  มีข่ายขึงร้อยกระดิ่งงามวิจิตรนานาชนิดห้อยย้อย เมื่อต้องลมก็ส่งเสียงไพเราะเสนาะสนิทชวนติดใจดั่งดนตรีเครื่องห้าที่ผู้ชำนาญชาญเพลงบรรเลงระเรื่อย
             เสียงอันไพเราะที่ดังแผ่วแว่วมาแต่ไกลนั้นก็หยั่งลงสู่โสตประสาทของชนทั้งหลาย สะท้อนไปในพื้นนภา ประหนึ่งว่าอากาศอันไม่ไกลชายวนาอันงามไปด้วยแมกไม้ ไม่สูงต่ำจนเกินงาม กำลังประเล้าประโลมขับกล่อมหมู่มนุษย์ที่ยืนเจรจาปราศรัยกันอยู่ตามเคหสถานบ้านเรือนและท้องถนนหนทางสามแพร่งสี่แพร่งเป็นต้น  ราวกับจะดึงดูดสายตาของผู้คนด้วยแสงสีที่พร่างพรายรุ่งโรจน์ด้วยรัตนะต่างๆ อันประดับอยู่ตามกิ่งก้านอันงามของหมู่ไม้  และปรากฏการณ์นี้ก็ดำเนินไปตลอดพื้นคัคนานต์ ปานว่าจะประกาศถึงปุญญานุภาพของพระโพธิสัตว์ให้เห็นถนัดแก่ตาชาวโลกฉะนี้ 
ฝ่ายเหล่าสนมนาฎนารี    ที่นั้น ก็ขับขานประสานเสียงด้วยศัพท์สำเนียงอันไพเราะแห่งดนตรีชั้นเลิศมีเครื่องห้า  
ฝ่ายเหล่าจตุรงคินีเสนาขององค์พระโพธิสัตว์ อันงามสง่าด้วยอาภรณ์ที่สวมใส่หลากสีสัน ประดับด้วยพรรณกุสุมคือดอกไม้อันส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ร่วงรุ้งรุ่งโรจน์เกิดจากประกายเครื่องอลังการและอาภรณ์ประดับกาย ก็เคลื่อนคลี่คลายไปแวดล้อมพิทักษ์ปราสาทโดยภาคพื้นนภา ประหนึ่งอมรเสนาทัพสวรรค์ งามแข็งขันควรชมเป็นที่สุด ดุจดังว่าเคลื่อนพลไปบนแผ่นพื้นธรณีกระนั้นแล
             ครั้นแล้ว ปราสาทก็ลอยลงประดิษฐาน    ภูมิพื้นปฐพี บังเกิดมีโพธิพฤกษ์ไม้ที่จะประทับตรัสรู้อยู่ในท่ามกลาง  แลต้นไม้นั้นชื่อว่านาคะ (ไม้กากะทิง) สูง  ๘๘ ศอก ลำต้นตรงอวบกลม อุดมด้วยดอกใบอ่อนตูมประดับเต็มไปทั้งต้น
ส่วนเหล่าสนมนาฏนารี อันมิได้มีใครใดมาบอกบังคับสั่ง ก็ลงจากปราสาทนั้นพากันกลับไป

มธุรัตถวิลาสินี BUDSIR VI หมวดอรรถกถา เล่ม 51 หน้า 244
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปลเล่ม ๗๓ หน้า 399



พระปทุมุตตรพุทธเจ้า

ทรงพระดำริจักเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์   พอทรงพระดำริเท่านั้น ปราสาทที่ชื่อว่า วสวัตดี ก็ลอยขึ้นสู่อากาศ เหมือนแป้นของช่างปั้นหม้อ ละลิ่วไปโดยพื้นอัมพร   ปานดังเทพวิมาน และประดุจดวงจันทร์เพ็ญ แล้วลงประดิษฐาน    ภาคพื้น กระทำไม้โพธิพฤกษ์ไว้ตรงกลาง ดุจเดียวกับปราสาทของพระโสภิตพุทธเจ้าดังกล่าวมาแล้ว
             พระมหาบุรุษเสด็จลงจากปราสาท ทรงห่มผ้ากาสายะอันเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ซึ่งเทวดาถวาย ทรงผนวช    สถานที่นั้นแล  ส่วนปราสาทกลับมาประดิษฐาน    ที่ตั้งเดิมของตน 

มธุรัตถวิลาสินี BUDSIR VI หมวดอรรถกถา เล่ม 51 หน้า 276
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปลเล่ม ๗๓ หน้า 465




พระธัมมทัสสีพุทธเจ้า

ทรงเห็นอาการอันวิการของเหล่าสนมที่หลับไหล ก็สลดสังเวช   เกิดความคิดที่จะออกมหาภิเนษกรมณ์  พลันที่คิดเช่นนั้นนั่นแล สุทัสสนปราสาทของพระองค์อันจตุรงคเสนาแวดล้อมแล้วก็ลอยขึ้นสู่ท้องนภากาศ  ลอยไปดังอาทิตย์ดวงที่สอง แลประดุจเทพวิมาน    แล้วก็ลงประดิษฐานอยู่ใกล้ต้นรัตตกุรวกะ (มะกล่ำทอง) อันเป็นโพธิพฤกษ์  ว่ากันว่าพระมหาบุรุษทรงรับกาสายพัสตร์ที่ท้าวมหาพรหมน้อมถวาย ทรงผนวชแล้ว เสด็จลงจากปราสาท ประทับยืนอยู่ไม่ไกล  ปราสาทก็ลอยขึ้นสู่อากาศอีก แล้วลอยลงประดิษฐาน    พื้นปฐพีกระทำโพธิพฤกษ์ไว้    ภายใน 

มธุรัตถวิลาสินี BUDSIR VI หมวดอรรถกถา เล่ม 51 หน้า 318
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปลเล่ม ๗๓ หน้า 545




พระกัสสปพุทธเจ้า

พระองค์ทรงเห็นนิมิต ๔  เกิดความสังเวชสลดใจ   เมื่อระหว่างที่ทรงดำริอยู่นั่นเอง ปราสาทอันผู้คนนับร้อยแวดล้อมก็หมุนปานดังแป้นของช่างปั้นหม้อ ลอยขึ้นสู่ท้องนภากาศ ดุจดวงรัชนีกรในสารทฤดู ที่งดงามอย่างยิ่งอันหมู่ดาวแวดล้อมแล้วประดับท้องนภากาศให้งดงามกระนั้น  ลอยละลิ่วไปเหมือนกับจะประกาศบุญญานุภาพ (ของพระโพธิสัตว์)  ประหนึ่งจะดึงดูดดวงตาดวงใจของหมู่ชน  ดังว่าจะทำยอดพฤกษาชาติทั้งหลายให้งามยิ่งนัก  แล้วลงประดิษฐานเหนือพื้นปฐพี กระทำต้นนิโครธอันเป็นโพธิพฤกษ์ไว้ตรงกลาง  ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ทรงยืนที่แผ่นดิน ทรงถือเอาธงชัยแห่งพระอรหันต์คือกาสายพัสตร์ที่เทวดาถวายทรงผนวชแล้ว

มธุรัตถวิลาสินี BUDSIR VI หมวดอรรถกถา เล่ม 51 หน้า 378
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปลเล่ม ๗๓ หน้า 674


No comments:

Post a Comment