Saturday, August 13, 2011

21.พระมหานามะ(2)


พระมหานามะ (2)
         

                พระเถระองค์นี้ชื่อ มหานามะ เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ท่านพระมหานามะในปัญจวัคคีย์ คัมภีร์ปรมัตถทีปนี ภาค ๑ (อรรถกถาเถรคาถา) หน้า ๓๕๒ เล่าประวัติของท่านไว้ดังนี้            
               
                พระเถระนี้เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ  สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ  บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ในกาลของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าสุเมธะ สำเร็จวิชชาของพราหมณ์ทั้งหลายแล้ว  ละฆราวาสวิสัยบวชเป็นดาบส สร้างอาศรมอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง สอนมนต์ให้พวกพราหมณ์เป็นจำนวนมาก 
อยู่มาวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จไปยังอาศรมบทของดาบสเพื่อจะทรงอนุเคราะห์  ดาบสเห็นพระผู้มีพระภาคแล้วมีจิตเลื่อมใส จัดแจงปูอาสนะถวาย  เมื่อพระผู้มีพระภาคประทับนั่งแล้ว เข้าไปถวายน้ำผึ้งที่มีรสหวานสนิทดี  พระผู้มีพระภาคเสวยน้ำผึ้งนั้นแล้ว ทรงพยากรณ์ว่า  ในอนาคตกาล ดาบสนี้จักบวชในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ  จักเป็นผู้มีอภิญญา ๖ 
                ด้วยบุญกรรมนั้น  ดาบสได้ไปเกิดในเทวโลก และเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสุคติภพเท่านั้น  ในพุทธุปบาทกาลนี้มาเกิดในตระกูลพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี ได้นามว่า  มหานามะ  ครั้นเติบใหญ่แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ฟังธรรมแล้วมีจิตศรัทธา ออกบวช  เรียนกรรมฐานแล้วไปอยู่ที่ภูเขาเนสาทกะ 
ในระหว่างปฏิบัติธรรมอยู่นั้นไม่สามารถจะข่มความกลุ้มรุมของกิเลสได้ คิดว่า เรามีจิตอันเศร้าหมองอย่างนี้แล้วจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่อประโยชน์อะไร เกิดเบื่อหน่ายในร่างกาย จึงปีนขึ้นไปยังยอดเขาสูง  แล้วแบ่งความรู้สึกให้เหมือนเป็นอีกคนหนึ่งมาข่มขู่ตัวเองว่า  เราจักให้เจ้าตกลงจากภูเขานี้ตาย  พลางกล่าวเป็นคาถาว่า

เอสาวหิยฺยเส  ปพฺพเตน                    พหุกุฏชสลฺลริเกน
                เนสาทเกน  คิรินา                               ยสสฺสินา  ปริจฺฉเทน.
                                ดูก่อนมหานามะ  ท่านนี้จักเสื่อมจากภูเขาเนสาทกะ 
ที่สะพรั่งไปด้วยไม้โมกมันและไม้อ้อยช้าง
เป็นภูเขาที่สมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำเป็นอันมาก
ประดับด้วยต้นไม้และเถาวัลย์โดยรอบ

 -เถรคาถา พระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ ข้อ ๒๕๒

                คาถานี้มีอธิบายว่า
ดูก่อนมหานามะ  ถ้าท่านสละกรรมฐาน เป็นผู้มากไปด้วยวิตกไซร้  ท่านจะเสื่อมจากภูเขาชื่อว่าเนสาทกะ อันเป็นสถานที่อยู่ที่สมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำ  เป็นที่สะดวกสบายอย่างนี้  บัดนี้เราจักผลักท่านให้ตกจากภูเขานี้ตาย  เพราะเหตุนั้น ท่านต้องไม่ตกอยู่ในอำนาจของวิตก  ดังนี้

                พระเถระข่มขู่คุกคามตนอยู่อย่างนี้นั่นแล ขวนขวายเจริญวิปัสสนา ในที่สุดก็ได้บรรลุพระอรหัตผล  สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์อปทาน (อปทาน ภาค ๑ พระไตรปิฎกเล่ม ๓๒ ข้อ ๓๙๖) ว่า

1 เราได้สร้างอาศรมสวยงามไว้ใกล้ฝั่งแม่น้ำสินธุ
                                เราสอนคัมภีร์อิติหาสะ  พร้อมทั้งตำราทายลักษณะ
                                แก่พวกศิษย์ที่อาศรมนั้น 
        
                                2 ศิษย์เหล่านั้นใคร่ธรรม  อันเราแนะนำดีแล้ว 
เป็นผู้ใคร่สดับคำสั่งสอนที่ดี 
บรรลุความสำเร็จในศาสตร์อันมีองค์ ๖ ประการ (?) 
อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำสินธุ 
        
3 เป็นผู้ฉลาดในการทำนายการมาเกิด
และในปุริสลักษณะทั้งหลาย
                                แสวงหาหลักธรรมอันสูงสุด
อยู่ในป่าใหญ่ในกาลครั้งนั้น

4 ครั้งนั้น  พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธะ
                                เสด็จอุบัติขึ้นในโลก 
พระองค์เป็นผู้นำที่วิเศษ 
จะทรงอนุเคราะห์พวกเราจึงเสด็จเข้ามา 

5 เราได้เห็นพระมหาวีระสุเมธะ 
ผู้เป็นนายกของโลก เสด็จมาถึง
จึงได้ปูหญ้าลาดถวายแด่พระองค์ 
ผู้เป็นเชษฐบุรุษของโลก
         
6 เรานำน้ำผึ้งมาจากป่าใหญ่
                                ถวายแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด 
พระสัมพุทธเจ้าเสวยแล้ว 
ได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า 
               
7 ผู้ใดมีความเลื่อมใส
                                ได้ถวายน้ำผึ้งแก่เราด้วยมือของตน 
เราจักพยากรณ์ผู้นั้น 
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว 
        
8 ด้วยการถวายน้ำผึ้ง 
และด้วยการลาดหญ้าถวายนี้ 
ผู้นั้นจักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลก
ตลอดสามหมื่นกัป
        
9 ในกัปที่สามหมื่น 
พระศาสดาพระนามว่าโคตมะ 
ทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกากราช 
จักเสด็จอุบัติในโลก 
        
10 ผู้นั้นจักเป็นทายาทในธรรม
ของพระศาสดาพระองค์นั้น 
จักเป็นโอรสอันธรรมเนรมิต 
จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว
                                เป็นผู้ไม่มีอาสวะปรินิพพาน
        
11 เมื่อเราจากเทวโลกมาสู่มนุษยโลกนี้ 
เข้าอยู่ในครรภ์มารดา 
ฝนน้ำผึ้งได้ตกลงมา 
น้ำผึ้งนองแผ่นดิน   
        
12 พอเราคลอดจากครรภ์ 
ฝนน้ำผึ้งก็ตกให้แก่เราเต็มเปี่ยมหม้อ
                                ตลอดกาลเป็นนิตย์ 

13 เมื่อเราออกจากเรือน
บวชเป็นอนาคาริยบรรพชิตแล้ว 
ย่อมได้ข้าวและน้ำเป็นอุดมลาภ 
นี้เป็นผลแห่งการถวายน้ำผึ้ง
        
14 เราเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์ 
พรั่งพร้อมด้วยสรรพสิ่งที่พึงปรารถนา
ได้บรรลุความสิ้นอาสวะแล้ว 
เพราะการถวายน้ำผึ้งนั้นแล
                
15 เมื่อฝนตกแล้ว  หญ้างอกยาว    นิ้ว 
เมื่อต้นไม้ในแถวฝั่งแม่น้ำมีดอกบานสะพรั่ง 
เราผู้ไม่มีอาสวะเป็นสุขอยู่เป็นนิตย์ 
ในสุญญาคาร  ที่บังแดด  และโคนไม้

16 ภพที่ประณีต  ปานกลาง  และทราม
เราข้ามพ้นได้แล้วทั้งหมด
อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นแล้วในวันนี้ 
การจะเกิดใหม่มิได้มีอีกต่อไป

17 ในสามหมื่นกัปแต่ภัทรกัปนี้ 
เราได้ถวายทานใดในกาลนั้น 
ด้วยทานนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย 
นี้เป็นผลแห่งการถวายน้ำผึ้ง 
        
                             18 กิเลสทั้งหลายเราเผามอดแล้ว
ภพทั้งหลายเราถอนขึ้นหมดแล้ว
อาสวะทั้งหลายหมดสิ้นทุกสิ่งแล้ว
การจะเกิดใหม่มิได้มีอีกต่อไป

19 เรามาอยู่ใกล้พระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วหนอ
วิชชา ๓ เราบรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสอนของพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว
        
20 ปฏิสัมภิทา ๔  วิโมกข์ ๘  และอภิญญา ๖
คุณวิเศษเหล่านี้เราทำให้แจ้งชัดแล้ว
คำสอนของพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว
ด้วยประการฉะนี้

                คาถานี้แลได้เป็นคาถาพยากรณ์พระอรหัตผลของพระเถระ ฉะนี้แล

                คัมภีร์อปทานที่อรรถกถาเถรคาถายกมาอ้างนี้ออกชื่อพระเถระองค์นี้ว่า มธุทายกเถระ ไม่ได้ออกชื่อว่า มหานามะ
                คำว่า มธุทายก แปลว่า ผู้ถวายน้ำผึ้ง เป็นคำที่บอกถึงคุณสมบัติบางประการ คัมภีร์อปทานจะระบุนามพระเถระเป็นจำนวนมากด้วยคำลักษณะนี้ เช่น สยนทายกเถระ (แปลว่า พระเถระผู้ถวายที่นอน) คันโธทกทายกเถระ (แปลว่า พระเถระผู้ถวายน้ำหอม) ธชทายกเถระ (แปลว่า พระเถระผู้ถวายธง) คำจำพวกนี้ไม่ใช่ชื่อเดิมตรงๆ ถ้าอยากทราบว่าพระเถระผู้ถวายสิ่งนั้นๆ มีชื่อจริงว่าอย่างไรก็ต้องไปค้นดูอีกทีหนึ่ง
กรณีท่านพระมหานามะองค์นี้ พอดีท่านมีผลงานปรากฏอยู่ในคัมภีร์เถรคาถา อรรถกถาเถรคาถาเมื่อเล่าประวัติของท่านแล้วยกคัมภีร์อปทานตอน มธุทายกเถราปทาน มาอ้าง จึงเป็นอันยืนยันได้แน่นอนว่า มธุทายกเถระ ก็คือท่าน พระมหานามะ นั่นเอง

                ไม่ปรากฏว่าพระมหานามเถระองค์นี้เป็นเลิศในทางไหน ท่านพระมหานามะในคณะปัญจวัคคีย์ก็ไม่ปรากกว่าเลิศในทางไหนเช่นกัน เป็นแต่มีนามระบุว่าเป็นพระมหาสาวก คือพระสาวกสำคัญองค์หนึ่ง

No comments:

Post a Comment