Saturday, August 13, 2011

18.พระราหุล

พระราหุล


                พระราหุล เป็นพระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ (พระพุทธเจ้า) และพระนางยโสธรา (พิมพา)  ประสูติเมื่อพระโพธิสัตว์ได้เสด็จไปยังอุทยานภูมิ  และได้เห็นเทวทูต ๔ รวม ๔ วัน คือเห็นคนแก่ในวันที่หนึ่ง  เห็นคนเจ็บในวันที่สอง  เห็นคนตายในวันที่สาม  และเห็นบรรพชิตในวันที่สี่
                ตอนนั้น พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงสดับว่า พระนางพิมพาประสูติพระโอรส  จึงส่งข่าวไปว่า  ท่านทั้งหลายจงบอกความดีใจของเราแก่ลูกของเราด้วย  พระโพธิสัตว์ได้ทรงสดับข่าวนั้นแล้วตรัสว่า  ราหุลํ  ชาตํ  พนฺธนํ  ชาตํ  (ห่วงเกิดแล้ว,  เครื่องจองจำเกิดแล้ว,  เครื่องผูกเกิดแล้ว)
พระราชาตรัสถามว่า  บุตรของเราได้พูดอะไรบ้าง  ครั้นได้สดับคำนั้นแล้วจึงตรัสว่า  ตั้งแต่นี้ไป หลานของเราจงมีชื่อว่า ราหุลกุมาร
                หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว  ในพรรษาที่ ๑ ได้เสด็จไปโปรดพระประยูรญาติในกรุงกบิลพัสดุ์ ซึ่งขณะนั้นพระราหุลมีพระชนมพรรษา ๗ ปี  ในวันที่ ๗ พระมารดา (พิมพา) ของพระราหุลก็ทรงแต่งองค์พระกุมารส่งไปเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยตรัสแนะว่า 
นี่แน่ะพ่อ เจ้าจงดูพระสมณะนั่นซึ่งมีวรรณะแห่งรูปดังรูปพรหม  มีวรรณะดังทองคำ  ห้อมล้อมด้วยสมณะสองหมื่นรูป  พระสมณะนี้เป็นบิดาของเจ้า  พระสมณะนั่นมีขุมทรัพย์ใหญ่  จำเดิมแต่พระสมณะนั้นออกบวชแล้ว แม่ไม่เห็นขุมทรัพย์เหล่านั้น  เจ้าจงไปขอมรดกกะพระสมณะนั้นว่า  ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์เป็นกุมาร  ได้รับอภิเษกแล้วจักได้เป็นจักรพรรดิ  ข้าพระองค์ต้องการทรัพย์  ขอพระองค์จงประทานทรัพย์แก่ข้าพระองค์ เพราะบุตรย่อมเป็นเจ้าของทรัพย์มรดกของบิดา 
พระราหุลกุมารก็ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค บังเกิดความรักในฐานเป็นบิดา มีจิตใจร่าเริง กราบทูลว่า  ข้าแต่พระสมณะ  ร่มเงาของพระองค์เป็นสุข  แล้วได้ยืนตรัสถ้อยคำอื่นๆ และถ้อยคำอันสมควรแก่ตนเป็นอันมาก  พระผู้มีพระภาคทรงทำภัตกิจแล้วตรัสอนุโมทนา เสร็จแล้วทรงลุกจากอาสนะเสด็จกลับ
                ฝ่ายพระกุมารกราบทูลว่า  ข้าแต่พระสมณะ ขอพระองค์จงประทานทรัพย์มรดกแก่ข้าพระองค์  แล้วติดตามพระผู้มีพระภาคไป
                พระผู้มีพระภาคไม่ให้พระกุมารกลับ  แม้ปริวารชนก็ไม่อาจยังพระกุมารผู้เสด็จไปกับพระผู้มีพระภาคให้กลับได้   พระกุมารนั้นได้ไปยังพระอารามพร้อมกับพระผู้มีพระภาค ด้วยประการดังนี้


สามเณรองค์แรก


                ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริว่า  กุมารนี้ปรารถนาทรัพย์อันเป็นของบิดาซึ่งเป็นไปตามวัฏฏะ  มีแต่ความคับแค้น  เอาเถอะ เราจะให้อริยทรัพย์ ๗ ประการ ซึ่งเราได้เฉพาะที่โพธิมัณฑ์แก่กุมารนี้  เราจะทำกุมารนั้นให้เป็นเจ้าของทรัพย์มรดกอันเป็นโลกุตระ   จึงตรัสเรียกท่านพระสารีบุตรมาว่า  สารีบุตร เธอจงให้ราหุลกุมารบวช     
พระเถระจึงให้ราหุลกุมารบวชเป็นสามเณร นับเป็นสามเณรองค์แรกในพระพุทธศาสนา  ส่วนพระโมคคัลลานเถระเป็นกรรมวาจาจารย์ของสามเณรราหุล
เมื่อพระกุมารบวชแล้ว  ความทุกข์มีประมาณยิ่งเกิดขึ้นแก่พระเจ้าสุทโธทนะ  พระองค์เมื่อไม่อาจทรงอดกลั้นความทุกข์นั้นได้ จึงเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ตรัสว่า  หม่อมฉันทูลขอพรที่สมควรและไม่มีโทษ พระพุทธเจ้าข้า
                พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  พระองค์โปรดตรัสบอกพรนั้นเถิด โคตมะ.
                พระเจ้าสุทโธทนะทูลว่า  เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงผนวชแล้ว ความทุกข์ล้นพ้นได้บังเกิดแก่หม่อมฉัน  เมื่อพ่อนันทะบวชก็เช่นเดียวกัน  เมื่อพ่อราหุลบรรพชา ทุกข์ยิ่งมากล้นพระพุทธเจ้าข้า  ความรักบุตรย่อมตัดผิว  ครั้นแล้วตัดหนัง  ตัดเนื้อ  ตัดเอ็น  ตัดกระดูก แล้วตั้งอยู่จรดเยื่อในกระดูก  หม่อมฉันขอประทานพระวโรกาส  พระคุณเจ้าทั้งหลายไม่พึงบวชบุตรที่บิดามารดายังมิได้อนุญาต พระพุทธเจ้าข้า 
                ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พระเจ้าสุทโธทนศากยะทรงเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา  พระเจ้าสุทโธทนศากยะอันพระผู้มีพระภาคทรงชี้ แจงให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว เสด็จลุกจากพระที่ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ทรงทำประทักษิณแล้วเสด็จกลับ
                ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น  รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุตรที่มารดาบิดาไม่อนุญาต ภิกษุไม่พึงให้บวช  รูปใดให้บวช  ต้องอาบัติทุกกฏ
ในวันรุ่งขึ้น พระผู้มีพระภาคทรงกระทำภัตกิจในพระราชนิเวศน์  เมื่อพระราชาประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในคราวที่พระองค์ทรงทำทุกรกิริยา  เทวดาตนหนึ่งเข้ามาหาหม่อมฉัน กล่าวว่า พระโอรสของพระองค์สวรรคตแล้ว  หม่อมฉันไม่เชื่อคำของเทวดานั้น  ได้ห้ามเทวดานั้นว่า บุตรของเรายังไม่บรรลุพระสัมโพธิญาณจะยังไม่ตาย ดังนี้ 
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า  บัดนี้พระองค์จักทรงเชื่อได้อย่างไร แม้ในกาลก่อนคนเอากระดูกมาแสดงแล้วกล่าวว่า บุตรของท่านตายแล้ว พระองค์ก็ยังไม่ทรงเชื่อ   ดังนี้แล้วตรัส มหาธรรมปาลชาดก  ในเวลาจบพระกถา พระราชาทรงดำรงอยู่ในอนาคามิผล

พระพุทธองค์แสดงธรรมโปรดพระราหุล

                สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่   พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน เขตพระนครราชคฤห์  ก็สมัยนั้นแล ท่านพระราหุลอยู่   ปราสาทชื่อว่าอัมพลัฏฐิกา
               ครั้งนั้น เวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่เร้น เสด็จเข้าไปยังอัมพลัฏฐิกาปราสาทที่ท่านพระราหุลอยู่  ท่านพระราหุลได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกลจึงปูลาดอาสนะและตั้งน้ำสำหรับล้างพระบาทไว้  พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้แล้ว ทรงล้างพระบาท  ท่านพระราหุลถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง    ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
                ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเหลือน้ำไว้ในภาชนะน้ำหน่อยหนึ่ง แล้วตรัสถามว่า  ดูก่อนราหุล เธอเห็นน้ำเหลือหน่อยหนึ่งอยู่ในภาชนะน้ำนี้ไหม ?
                ท่านพระราหุลกราบทูลว่า  เห็นพระเจ้าข้า
                ดูก่อนราหุล  สมณธรรมของบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งรู้อยู่  ก็มีน้อยเหมือนกันฉะนั้น
                ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเทน้ำที่เหลือหน่อยหนึ่งนั้นเสีย แล้วตรัสถามว่า  ดูก่อนราหุล เธอเห็นน้ำหน่อยหนึ่งที่เราเทเสียแล้วไหม ?
                เห็นพระเจ้าข้า
                ดูก่อนราหุล  สมณธรรมของบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งรู้อยู่  ก็เป็นของที่เขาทิ้งเสียแล้วเหมือนกันฉะนั้น
                ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงคว่ำภาชนะน้ำนั้น แล้วตรัสถามว่า  ดูก่อนราหุล เธอเห็นภาชนะน้ำที่คว่ำนี้ไหม ? 
                เห็นพระเจ้าข้า 
                ดูก่อนราหุล  สมณธรรมของบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งรู้อยู่  ก็เป็นของที่เขาคว่ำเสียแล้วเหมือนกันฉะนั้น
                ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงหงายภาชนะน้ำนั้นขึ้น แล้วตรัสถามว่า  ดูก่อนราหุล เธอเห็นภาชนะน้ำอันว่างเปล่านี้ไหม ? 
                เห็นพระเจ้าข้า 
                ดูก่อนราหุล  สมณธรรมของบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งรู้อยู่  ก็เป็นของว่างเปล่าเหมือนกันฉะนั้น
                ดูก่อนราหุล  เรากล่าวว่าบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งที่รู้อยู่ ที่จะไม่ทำบาปกรรมแม้น้อยหนึ่งไม่มี ฉันนั้นเหมือนกัน  เพราะเหตุนั้นแหละราหุล เธอพึงศึกษาว่า เราจักไม่กล่าวมุสาแม้เพราะหัวเราะกันเล่น  ดูก่อนราหุล เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล
                ดูก่อนราหุล  แว่นมีประโยชน์อย่างไร ? 
                มีประโยชน์สำหรับส่องดู พระเจ้าข้า
                ฉันนั้นเหมือนกันแลราหุล  บุคคลควรพิจารณาเสียก่อนแล้วจึงทำกรรมด้วยกาย  ด้วยวาจา  ด้วยใจ  กรรม ๓ คือ การกระทำทางกาย  ทางวาจา  ทางใจ  ดูก่อนราหุล  เธอปรารถนาจะทำกรรมใดด้วยกาย  วาจา  ใจ  เธอพึงพิจารณาเสียก่อนว่า  กาย  วาจา  ใจของเรานี้ พึงเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง  เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง  เพื่อเบียดเบียนทั้งตนทั้งผู้อื่นบ้าง  กาย  วาจา  ใจนี้เป็นอกุศล  มีทุกข์เป็นกำไร  มีทุกข์เป็นวิบากกระมังหนอ 
                ดูก่อนราหุล  ถ้าเมื่อเธอพิจารณาอยู่ พึงรู้อย่างนี้ว่า  เราปรารถนาจะทำกรรมใดด้วยกาย  วาจา  ใจ  พึงเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน  เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น  เพื่อเบียดเบียนทั้งตนทั้งผู้อื่น  กาย  วาจา  ใจนี้เป็นอกุศล  มีทุกข์เป็นกำไร  มีทุกข์เป็นวิบาก  ดังนี้ไซร้  เธอไม่พึงทำด้วยกาย  วาจา  ใจ โดยส่วนเดียว  เธอพึงเลิกกาย  วาจา  ใจนั้นเสีย และเธอพึงแสดง เปิดเผย ทำให้ตื้นในพระศาสนา หรือในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายผู้เป็นวิญญูชน แล้วพึงสำรวมต่อไป
                แต่ถ้าเมื่อเธอพิจารณาอยู่ พึงรู้อย่างนี้ว่า  เราปรารถนาจะทำกรรมใดด้วยกาย  วาจา  ใจ  ไม่พึงเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน  เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น  เพื่อเบียดเบียนทั้งตนทั้งผู้อื่น  กาย  วาจา  ใจนี้เป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก  ดังนี้ไซร้  เธอพึงทำด้วยกาย  วาจา  ใจ  เธอพึงเพิ่มกายกรรม  วจีกรรม  มโนกรรมนั้น  เธอพึงมีปีติและปราโมทย์  ศึกษาในกุศลธรรมทั้งกลางวันและกลางคืนอยู่ด้วยกายกรรม  วจีกรรม  มโนกรรมนั้นแหละ
                ดูก่อนราหุล  สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในอดีตกาล ได้ชำระกายกรรม  วจีกรรม  มโนกรรมแล้ว  สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหมดนั้นพิจารณาๆ อย่างนี้นั่นเอง แล้วจึงชำระกายกรรม  วจีกรรม  มโนกรรม 
                แม้สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในอนาคตกาล จักชำระกายกรรม  วจีกรรม  มโนกรรม  ...
                ถึงสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในปัจจุบัน กำลังชำระกายกรรม  วจีกรรม  มโนกรรมอยู่  ก็พิจารณาๆ อย่างนี้นั่นเอง แล้วจึงชำระกายกรรม  วจีกรรม  มโนกรรม 
                เพราะเหตุนั้นแหละราหุล เธอพึงศึกษาว่า  เราจักพิจารณาๆ แล้วจึงชำระกายกรรม  วจีกรรม  มโนกรรม   ดูก่อนราหุล เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล
                พระผู้มีพระภาคได้ตรัส จูฬราหุโลวาทสูตร ดังกล่าวมานี้ 


สำเร็จเป็นพระอรหันต์


                ในสมัยต่อมา  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสอนพระราหุลดังความใน มหาราหุโลวาทสูตร อันเป็นพระสูตรที่สำคัญควรศึกษาอย่างยิ่ง  และตรัสสอนอานาปานสติภาวนาเป็นที่สุด                                 
                ในพรรษาที่ ๑๒  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตพระนครสาวัตถี  เวลานั้นสามเณรราหุลมีอายุ ๑๘ พรรษา   ครั้งนั้นแลพระผู้มีพระภาคทรงหลีกเร้นประทับอยู่ในที่รโหฐาน  ได้เกิดพระปริวิตกทางพระหฤทัยขึ้นอย่างนี้ว่า  ราหุลมีธรรมที่บ่มวิมุตติแก่กล้าแล้วแล  ถ้ากระไรเราพึงแนะนำราหุลในธรรมที่สิ้นอาสวะยิ่งขึ้นเถิด       
                ครั้นเสด็จกลับจากบิณฑบาตภายหลังเวลาภัตแล้ว  ได้ตรัสกะท่านพระราหุลว่า  ดูก่อนราหุล เธอจงถือผ้ารองนั่ง  เราจักเข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักผ่อนกลางวันกัน
ท่านพระราหุลถือผ้ารองนั่งติดตามพระผู้มีพระภาคไป   เบื้องพระปฤษฎางค์  ก็สมัยนั้นเทวดาหลายพันตนได้ติดตามพระผู้มีพระภาคไปด้วยทราบว่า วันนี้พระผู้มีพระภาคจักทรงแนะนำท่านพระราหุลในธรรมที่สิ้นอาสวะยิ่งขึ้น 
                ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าถึงป่าอันธวันแล้วจึงประทับนั่ง   ควงไม้แห่งหนึ่ง  ฝ่ายท่านพระราหุลก็ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง   ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  พอนั่งเรียบร้อยแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า 
                ดูก่อนราหุล เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน จักษุเที่ยงหรือไม่เที่ยง  รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง  จักษุวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง  จักษุสัมผัสเที่ยงหรือไม่เที่ยง ?
                โสตะเที่ยงหรือไม่เที่ยง  …..  
ฆานะเที่ยงหรือไม่เที่ยง  …...
                ชิวหาเที่ยงหรือไม่เที่ยง  ……
                กายเที่ยงหรือไม่เที่ยง  ……
                มโนเที่ยงหรือไม่เที่ยง  ธรรมารมณ์เที่ยงหรือไม่เที่ยง  มโนวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง  มโนสัมผัสเที่ยงหรือไม่เที่ยง ? 
                เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  ที่เกิดเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยแม้นั้น เที่ยงหรือไม่เที่ยง ?
                ราหุล.    ไม่เที่ยงพระพุทธเจ้าข้า 
                พระ.      ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ?
                ราหุล.    เป็นทุกข์พระพุทธเจ้าข้า 
                พระ.      ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา  ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา  นั่นเรา  นั่นอัตตาของเรา ?
                ราหุล.   ไม่ควรพระพุทธเจ้าข้า 
                พระ.     ดูก่อนราหุล  อริยสาวกผู้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุวิญญาณ  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุสัมผัส  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยนั้น 
                ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโสตะ  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเสียง  ...
                ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในฆานะ  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกลิ่น  ...
                ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในชิวหา  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรส  ...
                ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกาย   ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโผฏฐัพพะ  ... 
                ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในมโน  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในธรรมารมณ์  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในมโนวิญญาณ  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในมโนสัมผัส 
                ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยนั้น 
                เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด  เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น  เมื่อหลุดพ้นแล้วย่อมมีญาณรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว  และทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว  พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว  กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว  กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี 
                พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว  ท่านพระราหุลมีใจชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล 
                ก็แหละเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสคำเป็นไวยากรณ์นี้อยู่  จิตของท่านพระราหุลหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น  และเทวดาหลายพันตนนั้นได้เกิดดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลีหมดมลทินว่า  สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  สิ่งทั้งมวลนั้นล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา 

                ด้วยจริยาวัตรของพระราหุลที่เป็นคนว่าง่าย และเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา  ต่อมาภายหลังพระศาสดาประทับนั่งท่ามกลางพระอริยสงฆ์ ทรงสถาปนาพระราหุลเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าพระสาวกผู้ใคร่ต่อการศึกษาในศาสนานี้แลว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้ใคร่ต่อการศึกษา
ราหุลนี้เป็นเลิศ

จริยาวัตรของพระราหุล


                ๑. สามเณรราหุลเป็นผู้ว่าง่าย
                ในสมัยหนึ่ง  ภิกษุทั้งหลายได้กล่าวคำนี้กะท่านสามเณรราหุลว่า อาวุโสราหุล พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ว่า   ภิกษุไม่พึงสำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบัน  อาวุโสราหุล  ท่านจงรู้สถานที่ควรนอน
                วันนั้นท่านสามเณรราหุลหาที่นอนไม่ได้ จึงนอนในวัจกุฎี (ห้องส้วม)
                ครั้นปัจจุสมัยแห่งราตรี พระผู้มีพระภาคทรงตื่นบรรทมแล้ว ได้เสด็จไปวัจกุฎี  ครั้นถึงจึงทรงพระกาสะ (กระแอม)  ฝ่ายท่านราหุลก็กระแอมรับ  พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า  ใครอยู่ในวัจกุฎีนี้  ท่านสามเณรราหุลทูลว่า  ข้าพระพุทธเจ้าราหุล พระพุทธเจ้าข้า
                พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า  ดูก่อนราหุล เหตุไรเธอจึงนอน   ที่นี้  จึงท่านสามเณรราหุลกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ
                ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบันได้ ๒ - ๓ คืน ...  ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้ :  ภิกษุใดสำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบัน ยิ่งกว่า ๒ - ๓ คืน   เป็นปาจิตตีย์

                ๒. มีความกตัญญู 
สมัยหนึ่ง สามเณรราหุลได้ไปเยี่ยมพระชนนี  ในวันนั้นลมในพระอุทรของพระพิมพาเถรีกำเริบขึ้น  เมื่อพระโอรสเสด็จมาเพื่อจะเยี่ยมเยียน  พระเถรีนั้นไม่สามารถจะออกมาพบได้  ภิกษุณีอื่นๆ จึงมาบอกว่า พระเถรีไม่สบาย  สามเณรราหุลจึงไปยังสำนักของพระมารดาแล้วทูลถามว่า  พระองค์ควรจะได้ยาอะไร ?  พระเถรีผู้ชนนีตรัสว่า  ดูก่อนพ่อ  ในคราวยังครองเรือน มารดาดื่มรสมะม่วงที่เขาปรุงประกอบด้วยน้ำตาลกรวดเป็นต้น โรคลมในท้องก็สงบระงับไป  แต่บัดนี้พวกเราเที่ยวบิณฑบาตเลี้ยงชีพ จักได้รสมะม่วงนั้นมาจากไหน   สามเณรราหุลทูลว่า  ถ้าข้าพเจ้าหาได้ จักนำมา  แล้วก็ออกไป   
สามเณรราหุลนั้นมีสมบัติมากมาย  คือ  มีพระธรรมเสนาบดีเป็นอุปัชฌาย์  มีพระมหาโมคคัลลานะเป็นอาจารย์  มีพระอานนทเถระเป็นอา  มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบิดา  แม้เมื่อเป็นอย่างนั้นท่านก็ไม่ไปยังสำนักอื่น  ได้ไปยังสำนักของอุปัชฌาย์  ไหว้แล้วได้ยืนมีอาการหน้าเศร้าอยู่ 
                ลำดับนั้น พระเถระจึงกล่าวกะสามเณรราหุลนั้นว่า  ดูก่อนราหุล  เหตุไรหนอเธอจึงมีหน้าระทมทุกข์อยู่
                สามเณรราหุลเรียนตอบว่า  ข้าแต่ท่านผู้เจริญ  โรคลมในท้องแห่งพระเถรีผู้เป็นมารดาของกระผมกำเริบขึ้น 
                พระสารีบุตรเถระถามว่า  ได้อะไรจึงจะควร ? 
                สามเณรราหุลเรียนว่า  พระมารดาเล่าให้ฟังว่า มีความผาสุกได้ด้วยรสมะม่วงที่ปรุงประกอบด้วยน้ำตาลกรวด
                พระสารีบุตรเถระจึงกล่าวว่า  เอาเถอะ เราจักได้มา  เธออย่าวิตกไปเลย 
                ในวันรุ่งขึ้น พระเถระพาสามเณรราหุลเข้าไปในเมืองสาวัตถี  ให้สามเณรนั่งที่โรงฉัน แล้วได้ไปยังประตูพระราชวัง  พระเจ้าโกศลทรงเห็นพระเถระจึงนิมนต์ให้นั่ง
                ในขณะนั้นเองนายอุยยานบาลนำเอามะม่วงหวานที่สุกทั้งพวงจำนวนห่อหนึ่งมาถวาย  พระราชาทรงปอกเปลือกมะม่วงแล้วใส่นำตาลกรวดลงไป  ขยำด้วยพระองค์เองแล้วได้ถวายพระเถระจนเต็มบาตร
                พระสารีบุตรเถระออกจากพระราชนิเวศน์ ไปยังโรงฉัน แล้วได้ให้แก่สามเณรโดยกล่าวว่า เธอจงนำรสมะม่วงนี้ไปให้มารดาของเธอ 
                สามเณรราหุลได้นำไปถวายแล้ว  พอพระเถรีบริโภคแล้วเท่านั้นโรคลมในท้องก็สงบ 
                ฝ่ายพระราชาทรงส่งคนไปด้วยดำรัสสั่งว่า  พระเถระไม่นั่งฉันรสมะม่วงในที่นี้  เธอจงไปดูให้รู้ว่าพระเถระให้ใคร  ราชบุรุษคนนั้นจึงตามพระเถระไป ทราบเหตุนั้นแล้วจึงมากราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ 
พระราชาทรงพระดำริว่า  ถ้าพระศาสดาจักอยู่ครองเรือน จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ  สามเณรราหุลจักได้เป็นขุนพลแก้ว  พระเถรีจักได้เป็นนางแก้ว  ราชสมบัติในสกลจักรวาลจักเป็นของท่านเหล่านี้ทีเดียว  ควรที่เราจะพึงอุปัฏฐากบำรุงท่านเหล่านี้  บัดนี้เราไม่ควรประมาทในท่านเหล่านี้ผู้บวชแล้วเข้ามาอาศัยเราอยู่   
จำเดิมแต่นั้น พระเจ้าโกศลรับสั่งให้ถวายรสมะม่วงแก่พระพิมพาเถรีเป็นประจำ


บุพกรรมในอดีตชาติ


                ได้ยินมาว่า ในอดีตกาลครั้งพระปทุมุตตรพุทธเจ้า  พระเถระทั้งสองนี้ คือพระราหุลและพระรัฐปาละ บังเกิดในตระกูลคฤหบดีมหาศาลในกรุงหงสวดี  ในเวลาที่ท่านยังเป็นเด็กไม่มีใครพูดถึงชื่อและโคตร  แต่พอท่านเจริญวัยแล้วดำรงอยู่ในฆราวาส  เมื่อบิดาของแต่ละคนล่วงลับไปแล้ว  ท่านทั้งสองจึงเรียกคนจัดการคลังรัตนะของตนมาแล้ว เห็นทรัพย์หาประมาณมิได้  คิดว่า ชนทั้งหลายมีปู่และปู่ทวดเป็นต้นพาเอากองทรัพย์มีประมาณเท่านี้ไปกับตนไม่ได้  บัดนี้เราควรจะถือเอาทรัพย์นี้ไปโดยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง 
คนทั้งสองนั้นจึงเริ่มให้มหาทานแก่คนกำพร้าและคนเดินทางเป็นต้น ในสถานที่ ๔ แห่ง
คนหนึ่งสอบถามทุกคนที่มาถึงโรงทานของตนเสียก่อน เมื่อทราบว่า ผู้ใดชอบใจสิ่งใด เป็นต้นว่าข้าวยาคูและของเคี้ยว ก็ให้สิ่งนั้นแก่ผู้นั้น  เพราะเหตุนั้นแล  เขาจึงมีชื่อว่า อาคตวาจก (ผู้ถามคนที่มาถึง)
อีกคนหนึ่งไม่ถามเลย  ใครมาถึงยื่นภาชนะให้ ก็ตักอาหารให้จนเต็ม  ด้วยเหตุนั้นแหละ เขาจึงมีชื่อว่า อนาคตวาจก (ผู้ไม่ถามคนที่มาถึง)
วันหนึ่ง คนทั้งสองนั้นออกไปนอกบ้านเพื่อล้างหน้าแต่เช้าตรู่  สมัยนั้น ดาบสผู้มีฤทธิ์มาก ๒ รูป เหาะมาแต่ป่าหิมพานต์เพื่อภิกขาจาร  ลงไม่ไกลสหายทั้งสองนั้น  เมื่อดาบสทั้งสองจัดแจงบริขารมีภาชนะน้ำเต้าเป็นต้น เดินมุ่งไปภายในบ้าน  สหายทั้งสองจึงมาไหว้ใกล้ๆ
                ครั้งนั้น ดาบสกล่าวกะคนทั้งสองนั้นว่า  ท่านผู้มีบุญใหญ่ ท่านมาเมื่อไร  คนทั้งสองนั้นตอบว่า มาเดี๋ยวนี้ขอรับ  แล้วรับภาชนะน้ำเต้าจากมือของดาบสทั้งสองนั้น นำไปเรือนของตน ในเวลาเสร็จภัตกิจจึงขอให้ดาบสรับปากว่า จะมารับภิกษาเป็นประจำ
                ในดาบสทั้งสองนั้น  รูปหนึ่งเป็นคนมักร้อน จึงแหวกน้ำในมหาสุมทรออกเป็น ๒ ส่วนด้วยอานุภาพของตน แล้วไปยังภพของปฐวินทรนาคราช นั่งพักกลางวัน  ดาบสรับอากาศเย็นพอสบายแล้วจึงกลับมา  เมื่อจะกระทำอนุโมทนาภัตในเรือนแห่งอุปัฏฐากของตน ก็กล่าวว่า  ขอจงสำเร็จเหมือนดังภพปฐวินทรนาคราช
                ต่อมาวันหนึ่ง อุปัฏฐากถามดาบสนั้นว่า  ท่านผู้เจริญ ท่านกระทำอนุโมทนาว่า จงสำเร็จเหมือนภพปฐวินทรนาคราช  โปรดบอกเรื่องให้ทราบ  พวกข้าพเจ้าไม่ทราบความที่ท่านกล่าวว่าคำนี้หมายความว่าอะไร
ดาบสกล่าวว่า  จริงสิกุฎุมพี  เรากล่าวว่าสมบัติของท่านจงเป็นเหมือนสมบัติของพญานาคชื่อว่าปฐวินทร 
ตั้งแต่นั้นมา กุฎุมพีก็ตั้งจิตไว้ในภพของพญานาคปฐวินทร
                ดาบสอีกรูปหนึ่งไปยังภพดาวดึงส์ พักกลางวันในเสรีสกวิมานที่ว่างเปล่า  ดาบสนั้นเที่ยวไปเที่ยวมา เห็นสมบัติของท้าวสักกเทวราช  เมื่อจะกระทำอนุโมทนาแก่อุปัฏฐากของตน ก็กล่าวว่า  สมบัติของท่านจงเป็นเหมือนสักกวิมาน  
ครั้งนั้น กุฎุมพีนั้นก็ถามเหมือนอย่างสหายอีกคนหนึ่งถามดาบสของตน    กุฎุมพีฟังคำของดาบสนั้นจึงตั้งจิตไว้ในภพของท่าวสักกะ 
คนทั้งสองได้บังเกิดในที่ที่ตนปรารถนาแล้วนั้นแล
                ผู้ที่เกิดในภพของปฐวินทรนาคราช ก็มีชื่อว่า ปฐวินทรนาคราชา  พระราชานั้นในขณะที่ตนเกิดแล้ว เห็นอัตภาพของตน มีความร้อนใจว่า  ดาบสผู้เข้าสู่สกุลสรรเสริญคุณแห่งฐานะของเราไม่น่าพอใจหนอ  ที่นี้เป็นที่ต้องเลื้อยไปด้วยท้อง  ดาบสนั้นไม่รู้ที่อื่นๆ แน่แท้  
ในขณะนั้นนั่นแล เหล่านาคผู้ฟ้อนรำแต่งตัวแล้ว ได้ประโคมเครื่องดนตรีในทุกทิศแก่พญานาคนั้น ในขณะนั้นนั่นแหละพญานาคนั้นก็ละอัตภาพนั้น กลายเพศเป็นมาณพน้อย 
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เข้าเฝ้าท้าวสักกะทุกกึ่งเดือน  เพราะฉะนั้น แม้พญานาคนั้นก็ต้องไปเฝ้าท้าวสักกะพร้อมกับพญานาคชื่อวิรูปักษ์ด้วย 
ท้าวสักกะเห็นพญานาคนั้นมาแต่ไกลก็จำได้  จึงถามพญานาคนั้นในเวลายืนอยู่ในที่ใกล้ว่า  สหาย ท่านไปเกิดที่ไหน  
พญานาคกล่าวว่า  ท่านมหาราช อย่าถามเลย  ข้าพเจ้าไปเกิดในที่ที่ต้องเลื้อยไปด้วยท้อง  ส่วนท่านได้มิตรที่ดีแล้ว
ท้าวสักกะตรัสว่า  สหาย ท่านอย่าวิตกเลยว่าเกิดในที่ไม่สมควร  พระทศพลพระนามว่าปทุมุตตระทรงบังเกิดในโลกแล้ว  ท่านจงกระทำกุศลกรรมแด่พระพุทธองค์แล้วปรารถนาฐานะนี้เถิด  เราทั้งสองจักอยู่ร่วมกันเป็นสุข 
                พญานาคกล่าวว่า  เทวะ ข้าพเจ้าจักกระทำอย่างนั้น  แล้วไปนิมนต์พระปทุมุตตระ จัดแจงเครื่องสักการะสัมมานะตลอดคืนยันรุ่งกับนาคบริษัทในภพนาคของตน
                วันรุ่งขึ้น เมื่อรุ่งอรุณ พระศาสดาตรัสเรียกพระสุมนเถระผู้อุปัฏฐากของพระองค์ว่า  สุมนะ วันนี้ตถาคตจักไปภิกขาจาร   ที่ไกล  ภิกษุปุถุชนจงอย่ามา จงมาแต่ภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทา  ผู้ทรงพระไตรปิฎก  ผู้มีอภิญญา ๖
พระเถระสดับพระดำรัสของพระศาสดาแล้ว แจ้งแก่ภิกษุทั้งปวง  ภิกษุประมาณแสนหนึ่งเหาะไปพร้อมกับพระศาสดา  พญานาคปฐวินทรกับนาคบริษัทมารับเสด็จพระทศพล  แลดูพระภิกษุสงฆ์ที่แวดล้อมพระศาสดาผู้กำลังเหยียบคลื่นอันมีสีดังแก้วมณีบนยอดคลื่น แลเห็นพระศาสดาอยู่เบื้องต้น  พระสงฆ์นวกะจนถึงสามเณรชื่ออุปเรวตะผู้เป็นโอรสของพระตถาคตอยู่ท้าย  จึงเกิดปีติปราโมทย์ว่า อานุภาพเห็นปานนี้ของพระสาวกที่เหลือไม่น่าอัศจรรย์  แต่อานุภาพแห่งทารกเล็กนี้ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน
                ครั้งนั้น เมื่อพระทศพลประทับนั่งที่ภพของพญานาคนั้นแล้ว  ภิกษุอื่นๆ นั่งต่อกันมาจนถึงอาสนะของสามเณรอุปเรวตะในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระศาสดา  พญานาคเมื่อถวายข้าวยาคูก็ดี เมื่อถวายของเคี้ยวก็ดี แลดูพระทศพลทีหนึ่ง  ดูสามเณรอุปเรวตะทีหนึ่ง พลางรำพึงว่า  มหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการในสรีระของสามเณรนั้นย่อมปรากฏเสมือนพระพุทธเจ้า  นี่เป็นอะไรกันหนอ ดังนี้  จึงถามภิกษุรูปหนึ่งผู้นั่งไม่ไกลว่า  ท่านเจ้าข้า สามเณรรูปนี้เป็นอะไรกับพระทศพล   ภิกษุนั้นตอบว่า เป็นโอรส  มหาบพิตร
                พญานาคจึงดำริว่า  สามเณรรูปนี้ใหญ่หนอ จึงได้เป็นโอรสของพระตถาคตผู้สง่างามเห็นปานนี้  แม้สรีระของท่านก็ปรากฏเสมือนพระสรีระของพระพุทธเจ้าไม่ผิดกันเลย  แม้ตัวเราก็ควรเป็นอย่างนี้ในอนาคตกาล  ดำริดังนี้แล้วจึงถวายมหาทาน ๗ วัน กระทำความปรารถนาว่า  พระเจ้าข้า ข้าพระองค์พึงเป็นโอรสของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตเหมือนสามเณรอุปเรวตะนี้ ด้วยอานุภาพแห่งกุศลกรรมนี้
พระศาสดาทรงเห็นว่า ความปรารถนานั้นจะสำเร็จโดยหาอันตรายมิได้ จึงทรงพยากรณ์ว่า  ในอนาคตมหาบพิตรจักเป็นโอรสแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ  ดังนี้แล้วเสด็จกลับไป
                ส่วนปฐวินทรนาคราช เมื่อถึงกึ่งเดือนอีกครั้งหนึ่งก็ไปเฝ้าท้าวสักกะกับพญานาคชื่อวิรูปักษ์  คราวนั้นท้าวสักกะตรัสถามพญานาคนั้นผู้มายืนอยู่ในที่ใกล้ว่า  สหาย  ท่านปรารถนาเทวโลกนี้แล้วหรือ
ข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาดอกท่านสหาย
                ท่านเห็นโทษอะไรเล่า ?
                โทษไม่มี มหาราช  แต่ข้าพเจ้าเห็นสามเณรอุปเรวตะโอรสของพระทศพล   ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้เห็นสามเณรนั้นก็มิได้น้อมจิตไปในที่อื่น  ข้าพเจ้านั้นกระทำความปรารถนาว่า ในอนาคตกาลขอข้าพเจ้าพึงเป็นโอรสเห็นปานนี้ของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง  ข้าแต่มหาราช แม้พระองค์ก็จงกระทำความปรารถนาอย่างหนึ่งเถิด  เราทั้งสองจักไม่พรากกันในที่ที่เกิดแล้ว
ท้าวสักกะรับคำของพญานาคนั้นแล้ว  เห็นภิกษุผู้มีอานุภาพมากรูปหนึ่ง จึงนึกว่า กุลบุตรนี้ออกบวชจากสกุลไหนหนอ ดังนี้  ทราบว่ากุลบุตรผู้นี้เป็นบุตรของสกุลผู้สามารถสมานรัฐที่แตกแยกกัน  กระทำการอดอาหารถึง ๑๔ วัน ให้มารดาบิดาอนุญาตให้บรรพชาแล้วจึงได้บวช   ก็แลครั้นทราบแล้วจึงเป็นเหมือนไม่ทราบ ทูลถามพระทศพลแล้วกระทำมหาสักการะ ๗ วัน กระทำความปรารถนาว่า  พระเจ้าข้า ด้วยผลแห่งกัลยาณกรรมนี้ ข้าพระองค์พึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้บวชด้วยศรัทธาในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต เหมือนอย่างกุลบุตรผู้นี้ในศาสนาของพระองค์เถิด
พระศาสดาทรงเห็นว่า ความปรารถนานั้นจะสำเร็จโดยหาอันตรายมิได้ จึงทรงพยากรณ์ว่า  มหาบพิตร พระองค์จักเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้บวชด้วยศรัทธาในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะในอนาคตกาล
                ทั้งสองนั้นจุติจากที่ที่ตนเกิดแล้ว เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ล่วงไปหลายพันกัป  ในที่สุดกัปที่ ๙๒ แต่กัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่าผุสสะทรงอุบัติขึ้นในโลก  พระพุทธบิดาของพระองค์เป็นพระราชาพระนามว่า มหินทะ  มีอนุชาต่างมารดากัน ๓ องค์  พระราชาทรงยึดถือว่า พระพุทธเจ้าเป็นของเราเท่านั้น  พระธรรมเป็นของเรา  พระสงฆ์เป็นของเรา  ทรงถวายโภชนะให้พระทศพลเสวยด้วยพระองค์เองเป็นประจำทุกๆ วัน
                ต่อมาวันหนึ่ง มีเหตุร้ายเกิดขึ้นที่ชายแดน  พระองค์ตรัสเรียกโอรสมาสั่งว่า ลูกเอ๋ย  ชายแดนกำเริบ พวกเจ้าหรือเราควรไป  ถ้าเราไป เจ้าจะต้องปรนนิบัติพระทศพลโดยทำนองนี้  พระราชโอรสทั้ง ๓ นั้นทูลเป็นเสียงเดียวกันว่า  ข้าแต่พระชนก  พระองค์ไม่จำต้องเสด็จไป  พวกข้าพระองค์จักช่วยกันปราบโจร ดังนี้  จึงถวายบังคมลาพระชนกเสด็จไปยังปัจจันตชนบท  ปราบโจรมีชัยชนะแก่ข้าศึกแล้วเสด็จกลับ 
ในระหว่างทางพระราชกุมารเหล่านั้นปรึกษากับเหล่าผู้ใกล้ชิดว่า  พ่อเอ๋ย  ในเวลาที่เราเข้าเฝ้า พระชนกจักประทานพร  เราจะรับพรอะไรดี  พวกข้าบาทมูลิกาทูลว่า  พระลูกเจ้า  เมื่อพระชนกของพระองค์ล่วงลับไป   ไม่มีอะไรที่ชื่อว่าได้ยาก  แต่พระองค์โปรดรับพรคือการปรนนิบัติพระผุสสพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระเชษฐภาดาของพระองค์เถิด   พระราชกุมารเหล่านั้นกล่าวว่า  พวกท่านพูดดี  จึงพร้อมใจกันทุกๆ องค์ไปเฝ้าพระชนก
                ในกาลนั้น พระชนกทรงพอพระทัยที่พระราชกุมารเหล่านั้นปฏิบัติภารกิจสำเร็จจึงทรงประทานพร  พระราชกุมารเหล่านั้นทูลขอพรว่า  พวกข้าพระองค์ขอปรนนิบัติพระตถาคตตลอดไตรมาส   พระราชาตรัสว่า  พรนี้เราให้ไม่ได้  จงขอพรอย่างอื่นเถิด   
พระราชกุมารกราบทูลว่า  ข้าแต่พระชนก พวกข้าพระองค์ก็ไม่ต้องการพรอย่างอื่น  ถ้าหากพระองค์ประสงค์จะพระราชทาน  ขอจงพระราชทานพรนี้นั่นแหละแก่พวกข้าพระองค์เถิด
เมื่อพระราชโอรสเหล่านั้นทูลขออยู่บ่อยๆ พระราชาทรงดำริว่า  เราไม่ให้ไม่ได้เพราะเราได้ปฏิญญาไว้แล้ว  จึงตรัสว่า  พ่อเอ๋ย เราให้พรแก่พวกเจ้า  ก็แต่ว่าธรรมดาพระพุทธเจ้าเป็นผู้อันใครๆ เข้าเฝ้าได้ยาก  เป็นผู้มีปกติเที่ยวไปพระองค์เดียวดุจสีหะ  พวกเจ้าจงเป็นผู้ไม่ประมาทปรนนิบัติพระทศพลเถิด
                พระราชกุมารเหล่านั้นดำริว่า เมื่อพวกเราจะปรนนิบัติพระตถาคต ก็ควรจะปรนนิบัติให้สมควร  จึงพร้อมใจกันสมาทานศีล ๑๐ เป็นผู้ไม่มีกลิ่นคาว  ตั้งบุรุษไว้ ๓ คนให้ดูแลโรงทานสำหรับพระศาสดา  บรรดาบุรุษ ๓ คนนั้น คนหนึ่งเป็นผู้จัดแจงการเงินและข้าวปลาอาหาร  คนหนึ่งมีหน้าที่ตวงข้าว  คนหนึ่งมีหน้าที่จัดทาน
                ในบุรุษ ๓ คนนั้น  คนจัดแจงการเงินและข้าว มาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสารมหาราชในปัจจุบัน   คนตวงข้าวมาเกิดเป็นวิสาขอุบาสก   คนจัดทานมาเกิดเป็นพระรัฐปาลเถระ
                กุลบุตรนั้นบำเพ็ญกุศลในภพนั้นตลอดชีพแล้วบังเกิดในเทวโลก  ส่วนพญานาคนี้เกิดเป็นพระเชษฐโอรสของพระเจ้ากิกิครั้งพระทศพลพระนามว่ากัสสปะ  พระญาติทั้งหลายขนานนามพระองค์ว่า ปฐวินทรกุมาร  พระองค์มีภคินี ๗ พระองค์ พระภคินีเหล่านั้นสร้างบริเวณถวายพระทศพลถึง ๗ แห่ง  พระปฐวินทรกุมารทรงได้ตำแหน่งอุปราช  พระองค์ตรัสแก่ภคินีเหล่านั้นว่า  ในบรรดาบริเวณที่พระนางได้สร้างไว้นั้น ขอจงประทานให้หม่อมฉันแห่งหนึ่ง   พระภคินีเหล่านั้นทูลว่า  พระพี่เจ้า พระองค์ดำรงอยู่ในฐานะเป็นอุปราช  พระองค์เองต่างหากพึงประทานแก่หม่อมฉัน  พระองค์โปรดสร้างบริเวณอื่นเถิด
พระราชกุมารได้สดับคำของพระภคินีเหล่านั้นแล้ว จึงให้สร้างวิหารถึง ๕๐๐ แห่ง (บางท่านกล่าวว่า บริเวณ ๕๐๐ แห่งก็มี)  พระราชกุมารนั้นทรงบำเพ็ญกุศลตลอดชีพในอัตภาพนั้น ไปบังเกิดในเทวโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ปฐวินทรกุมารถือปฏิสนธิในพระครรภ์แห่งพระองค์มเหสีแห่งพระโพธิสัตว์ของเรา คือพระราหุลกุมาร  สหายของท่านบังเกิดในเรือนแห่งรัฐปาลเศรษฐี ในถุลลโกฏฐิตนิคม แคว้นกุรุ  คือพระรัฐปาลเถระ (เก็บความจาก มโนรถปูรณี ภาค ๑ เอตทัคควัณณนา)


พระราหุลปรินิพพาน


                ไม่มีรายละเอียดว่าท่านปรินิพพานอย่างไร  ทราบเพียงว่า ท่านปรินิพพานก่อนพระอัครสาวกทั้งสอง และก่อนพระพุทธเจ้า โดยการทูลลาพระพุทธเจ้าไปนิพพานที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

No comments:

Post a Comment