พระอุบาลี
พระอุบาลี เกิดในวรรณะหีนชาติ (วรรณะชั้นต่ำ) ในตระกูลช่างกัลบก และเป็นช่างกัลบกประจำพระองค์เจ้าชายศากยะทั้งหลาย คือ พระเจ้าภัททิยศากยะ อนุรุทธะ อานนท์ ภัคคุ กิมพิละ และ เทวทัต
ได้ยินว่า ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านพระอุบาลีบังเกิดในครอบครัวผู้มีตระกูล ณ กรุงหงสวดี วันหนึ่งกำลังฟังธรรมกถาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของภิกษุสาวกผู้ทรงวินัย จึงกระทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไปด้วยปรารถนาตำแหน่งนั้น ท่านทำกุศลจนตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์เป็นเวลาแสนนาน ในพุทธุปบาทกาลนี้ มาถือปฏิสนธิในตระกูลกัลบก บิดามารดาตั้งชื่อท่านว่า อุบาลีกุมาร
ระรานพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงเกิดในวรรณะต่ำ
เหตุที่ท่านเกิดในวรรณะต่ำนั้น คัมภีร์อปทานแสดงไว้เป็นคำบอกเล่าของท่านเองว่า ในอดีตชาติท่านเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า จันทนะ เป็นโอรสของพระเจ้าอัญชสะ มีนิสัยแข็งกระด้างถือตัวจัด วันหนึ่งทรงช้างเสด็จไปประพาสอุทยาน ระหว่างทางได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า เทวละ ท่านได้ไสช้างให้เข้าไปทำร้ายพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยจิตใจดูถูกดูหมิ่น ผลกรรมนั้นจึงทำให้ท่านเกิดในวรรณะต่ำ
ออกบวช
ความจริง ตั้งแต่แรกพระอุบาลีไม่ได้ตั้งใจที่จะออกบวช เพียงแต่ตามมาส่งเจ้าศากยะทั้ง ๖ พระองค์ ด้วยความจงรักภักดี ครั้งนั้นอุบาลีผู้เป็นภูษามาลา (ผู้มีหน้าที่ตัดผมและดูแลเครื่องแต่งกายของเจ้านาย) เมื่อจะกลับ คิดว่า เจ้าศากยะทั้งหลายเหี้ยมโหดนัก จะพึงให้ฆ่าเราเสียด้วยเข้าพระทัยว่าอุบาลีนี้ทำให้พระกุมารทั้งหลายออกบวช ก็ศากยกุมารเหล่านี้ยังทรงผนวชได้ ไฉนเราจักบวชไม่ได้เล่า
คิดดังนี้แล้ว ก็แก้ห่อเครื่องประดับที่เจ้าศากยะฝากให้นำกลับไปบ้านเมือง เอาเครื่องประดับนั้นแขวนไว้บนต้นไม้ แล้วพูดว่า “ของนี้เราให้แล้ว ผู้ใดเห็น ผู้นั้นจงนำไปเถิด” แล้วย้อนกลับเข้าไปเฝ้าศากยกุมารเหล่านั้น ศากยกุมารเหล่านั้นทอดพระเนตรเห็นอุบาลีกำลังเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วจึงรับสั่งถามว่า พนายอุบาลี กลับมาทำไม อุบาลีก็ทูลถึงความคิดของตนให้ศากยกุมารเหล่านั้นทราบทุกประการ
พวกเจ้าศากยะตรัสว่า พนายอุบาลี ท่านได้ทำถูกต้องแล้ว เพราะท่านกลับไป เจ้าศากยะทั้งหลายเหี้ยมโหดนัก จะพึงให้ฆ่าท่านเสียด้วยเข้าพระทัยว่าอุบาลีนี้ทำให้พระกุมารทั้งหลายออกบวช
ลำดับนั้น ศากยกุมารเหล่านั้นพาอุบาลีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถวายอภิวาทแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พวกหม่อมฉันเป็นเจ้าศากยะ ยังมีมานะ อุบาลีผู้เป็นภูษามาลานี้เป็นผู้รับใช้ของหม่อมฉันมานาน ขอพระผู้มีพระภาคจงให้อุบาลีนี้บวชก่อนเถิด พวกหม่อมฉันจักทำการอภิวาท การลุกรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่อุบาลีผู้เป็นภูษามาลานี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ ความถือตัวของพวกหม่อมฉันผู้เป็นศากยะจักเสื่อมคลายลง
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคโปรดให้อุบาลีบวชก่อนแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา ให้ศากยกุมารเหล่านั้นผนวชต่อภายหลัง
ครั้นต่อมา ในระหว่างพรรษานั้นเอง ท่านพระภัททิยะได้ทำให้แจ้งซึ่งวิชชา ๓ ท่านพระอนุรุทธะได้ยังทิพยจักษุให้เกิด ท่านพระอานนท์ได้ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระเทวทัตได้สำเร็จฤทธิ์ชั้นปุถุชน
ท่านพระอุบาลีบรรพชาอุปสมบทแล้ว ขอให้พระศาสดาตรัสสอนกรรมฐาน กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้เจริญ ขอได้โปรดทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์อยู่ป่าเถิด
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เมื่อเธออยู่ป่า ก็จักเจริญแต่วิปัสสนาธุระอย่างเดียว แต่เมื่อเธออยู่ในสำนักเรา วิปัสสนาธุระ คือการอบรม คันถธุระ คือการเล่าเรียน ก็จักบริบูรณ์
พระเถระรับพระดำรัสของพระศาสดาแล้ว กระทำการขวนขวายในวิปัสสนา ไม่นานก็บรรลุพระอรหัต
ครั้งนั้น พระศาสดารับสั่งให้ท่านพระอุบาลีเรียนพระวินัยปิฎกทั้งสิ้นด้วยพระองค์เอง ต่อมาท่านวินิจฉัยอธิกรณ์ ๓ เรื่อง พระศาสดาประทานสาธุการรับรองในอธิกรณ์แต่ละเรื่องที่ท่านวินิจฉัยแล้ว ทรงกระทำเรื่องทั้ง ๓ ที่ท่านวินิจฉัยแล้วให้เป็นอัตถุปปัตติ (เหตุเกิดเรื่อง) จึงทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของภิกษุสาวกผู้ทรงวินัยว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้ทรงวินัย
อุบาลีนี้เป็นเลิศ
ผลงานและจริยาวัตร
อธิกรณ์ ๓ เรื่องใหญ่ ที่ท่านพระอุบาลีวินิจฉัยเทียบเคียงกับพระสัพพัญญุตญาณ คือ เรื่องพระชาวเมืองภารุกัจฉะ เรื่องพระอัชชุกะ และ เรื่องท่านพระกุมารกัสสปะ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่าเป็นยอดของภิกษุสาวกผู้ทรงวินัย
เรื่องที่ท่านวินิจฉัยกรณีพระชาวเมืองภารุกัจฉะมีปรากฏอยู่ในคัมภีร์มหาวิภังค์ พระวินัยปิฎก (พระไตรปิฎกเล่ม ๑ ข้อ ๗๑) ดังนี้
ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุชาวเมืองภารุกัจฉะรูปหนึ่ง ฝันว่าได้เสพเมถุนธรรมกับภรรยาเก่า จึงเข้าใจว่า เราไม่เป็นสมณะแล้ว จักสึกละ แล้วเดินทางไปสู่เมืองภารุกัจฉะ พบท่านพระอุบาลีในระหว่างทาง จึงกราบเรียนเรื่องนั้นให้ทราบ ท่านพระอุบาลีกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส อาบัติไม่มีเพราะความฝัน
เรื่องที่ท่านวินิจฉัยอธิกรณ์พระอัชชุกะมีรายละเอียดในคัมภีร์มหาวิภังค์ พระวินัยปิฎก (พระไตรปิฎกเล่ม ๑ ข้อ ๑๗๒) ดังนี้
ก็โดยสมัยนั้นแล คหบดีอุปัฏฐากของท่านพระอัชชุกะในเมืองเวสาลี มีเด็กชาย ๒ คน คือ บุตรชายคนหนึ่ง หลานชายคนหนึ่ง ครั้งนั้นท่านคหบดีได้สั่งไว้กะท่านพระอัชชุกะว่า พระคุณเจ้าข้า บรรดาเด็ก ๒ คนนี้ เด็กคนใดมีศรัทธาเลื่อมใส พระคุณเจ้าพึงบอกสถานที่ฝังทรัพย์นี้แก่เด็กคนนั้น ดังนี้แล้วได้ถึงแก่กรรม
ครั้นสมัยต่อมา หลานชายของคหบดีนั้นเป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส จึงท่านพระอัชชุกะได้บอกสถานที่ฝังทรัพย์นั้นแก่เด็กหลานชาย เด็กหลานชายนั้นได้รวบรวมทรัพย์ และเริ่มบำเพ็ญทานด้วยทรัพย์สมบัตินั้น
ภายหลัง บุตรชายคหบดีนั้นได้เรียนถามเรื่องนี้กะท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ใครหนอเป็นทายาทของบิดา บุตรชายหรือหลานชาย ?
ท่านพระอานนท์ตอบว่า ธรรมดาบุตรชายเป็นทายาทของบิดา
บุตรชายคหบดีจึงเรียนให้ทราบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระคุณเจ้าอัชชุกะนี้ได้บอกทรัพย์สมบัติของกระผมให้แก่คู่แข่งขันของกระผม
พระอานนท์กล่าวว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านพระอัชชุกะก็ไม่เป็นสมณะ
ลำดับนั้น ท่านพระอัชชุกะได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า อาวุโสอานนท์ ขอท่านได้โปรดให้การวินิจฉัยแก่กระผมด้วยเถิด
ก็ครั้งนั้นท่านพระอุบาลีเป็นฝักฝ่ายของท่านพระอัชชุกะ ท่านจึงถามท่านพระอานนท์ว่า อาวุโสอานนท์ ภิกษุใดอันเจ้าของทรัพย์สั่งไว้ว่า ขอท่านได้โปรดบอกสถานที่ฝังทรัพย์นี้แก่บุคคลนั้น ภิกษุนั้นจะต้องอาบัติด้วยหรือ ?
อานนท. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภิกษุนั้นไม่ต้องอาบัติสักน้อย โดยที่สุดแม้เพียงอาบัติทุกกฏ
อุบาลี. อาวุโส ท่านพระอัชชุกะนี้อันเจ้าของทรัพย์สั่งไว้ว่า ขอท่านได้โปรดบอกสถานที่ฝังทรัพย์นี้แก่บุคคลชื่อนี้ จึงได้บอกแก่บุคคลนั้น ท่านพระอัชชุกะไม่ต้องอาบัติ
ส่วนเรื่องที่ท่านวินิจฉัยอธิกรณ์เรื่องพระกุมารกัสสปะ โปรดดูรายละเอียดในเรื่องพระกุมารกัสสปะ
ในคัมภีร์ภิกขุนีวิภังค์ พระวินัยปิฎก (พระไตรปิฎกเล่ม ๓ ข้อ ๓๓๔) กล่าวว่า พระอุบาลีมีพระอุปัชฌาย์ ชื่อพระกัปปิตกะ มีเรื่องราวตอนหนึ่งว่า
โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน เขตพระนครเวสาลี ครั้งนั้นท่านพระกัปปิตกะอุปัชฌายะของท่านพระอุบาลีพำนักอยู่ในป่าช้า ครั้งนั้น มีภิกษุณีรูปหนึ่งเป็นที่เคารพของพวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์ถึงมรณภาพลง ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ช่วยกันนำศพออกไปเผาแล้วก่อสถูปไว้ใกล้ๆ ที่อยู่ของท่านพระกัปปิตกะ แล้วพากันไปร้องไห้ ณ สถูปนั้น ท่านพระกัปปิตกะรำคาญเสียงร้องไห้นั้น จึงได้ทำลายสถูปนั้นพังกระจาย
ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ปรึกษากันเป็นความลับว่า พระกัปปิตกะนี้ทำลายสถูปแม่เจ้าของพวกเรา พวกเรามาช่วยกันฆ่าท่านเสียเถิด
ภิกษุณีรูปหนึ่งได้แจ้งข้อปรึกษากันนั้นแก่ท่านพระอุบาลี พระอุบาลีได้กราบเรียนเรื่องนั้นให้ท่านพระกัปปิตกะทราบ ท่านพระกัปปิตกะจึงออกจากที่พักของท่านไปหลบอยู่ที่อื่น
ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ได้เข้าไปที่พำนักของท่านพระกัปปิตกะแล้วช่วยกันขนก้อนหินและก้อนดินทับถมที่อยู่ของท่าน แล้วหลบไปด้วยเข้าใจว่าท่านถึงมรณภาพแล้ว
วันรุ่งขึ้น ท่านพระกัปปิตกะเข้าไปบิณฑบาตในเมืองเวสาลีแต่เช้า ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ได้เห็นท่านยังเดินเที่ยวบิณฑบาตอยู่จึงได้พูดกันว่า พระกัปปิตกะนี้ยังมีชีวิตอยู่ ใครหนอนำเอาความลับของเราไปบอก
ครั้นได้ทราบว่าพระอุบาลีเป็นผู้บอก จึงพากันด่าท่านพระอุบาลีว่า ท่านนี้เป็นคนสำหรับคอยรับใช้เมื่อเวลาอาบน้ำ เป็นคนคอยชำระของเปรอะเปื้อน เป็นคนมีสกุลต่ำ ไฉนจึงได้ลอบนำความลับของเราไปเที่ยวบอกเขาเล่า
เรื่องที่ภิกษุณีด่าพระอุบาลีนี้เป็นต้นเหตุให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุณีด่าก็ดี กล่าวขู่ก็ดี ซึ่งภิกษุ
ความจริงพระอุบาลีได้รับอุปสมบทโดยวิธีเอหิภิกขุ คือพระพุทธองค์ทรงประทานอนุญาตให้เป็นภิกษุโดยเพียงแต่ตรัสว่า “เอหิ ภิกฺขุ” (จงเป็นภิกษุมาเถิด) แต่เนื่องจากในระยะต้นพุทธกาลพระภิกษุที่บวชแล้วยังไม่มีอุปัชฌาย์ พระพุทธองค์จึงตรัสให้ถืออุปัชฌาย์ คือให้มีพระผู้ทำหน้าที่ดูแลฝึกอบรมพระใหม่ในการศึกษาเบื้องต้น ต่อมาจึงทรงบัญญัติให้ผู้จะอุปสมบทต้องมีอุปัชฌาย์ไว้พร้อมแล้ว
ท่านพระอุบาลีได้เป็นกำลังสำคัญในการวิสัชนาพระวินัยในคราวปฐมสังคายนา เพราะที่ประชุมได้มีมติคัดเลือกให้ท่านทำหน้าที่วิสัชนาวินัย ท่านพระอุบาลีรับหน้าที่ชี้แจงเหตุการณ์ต่างๆ อันเป็นที่มาแห่งการทรงบัญญัติพระวินัย มาจัดให้เป็นหมวดหมู่ดังปรากฏในพระวินัยปิฎก
พระเถระที่ได้เรียนพระวินัยสืบต่อมาจากท่านพระอุบาลีจนถึงสมัยสังคายนาครั้งที่ ๓ มีหลักฐานปรากฏดังนี้
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นศิษย์ของพระสิคควะ
พระสิคควะเป็นศิษย์ของพระโสณกะ
พระโสณกะเป็นศิษย์ของพระทาสกะ
พระทาสกะเป็นศิษย์ของพระอุบาลี
ช่วงปลายชีวิต
ในช่วงปลายของชีวิต ท่านพระอุบาลีมีผลงานมากและเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป โดยเฉพาะบทบาทของท่านในการทำปฐมสังคายนา แต่ไม่พบหลักฐานว่าท่านนิพพานที่ไหน เมื่อไร ได้แต่สันนิษฐานว่าขณะนั้นท่านคงมีอายุใกล้เคียงกับพระอนุรุทธะและพระอานนท์ และคงนิพพานในเวลาใกล้เคียงกัน
No comments:
Post a Comment