Saturday, August 13, 2011

16.พระมหาโมคคัลลานะ

พระมหาโมคคัลลานะ


            พระมหาโมคคัลลานะ เกิดที่บ้านโกลิตคาม เมืองนาลันทา ไม่ไกลกรุงราชคฤห์ เดิมชื่อ โกลิตะ  มารดาชื่อ โมคคัลลีพราหมณี  บิดาเป็นนายบ้าน นามไม่ปรากฎ  ในวันเดียวกันนั่นเอง สหายของท่านคือพระสารีบุตรก็เกิดด้วย พระสารีบุตรเป็นบุตรของนางสารีพราหมณีในบ้านอุปติสสคาม ไม่ไกลกรุงราชคฤห์   ตระกูลทั้งสองนี้ได้เป็นสหายเกี่ยวเนื่องกันมา    ชั่วคน  ญาติทั้งหลายได้ให้การบริหารครรภ์แก่สตรีผู้เป็นมารดาทั้งสองนั้นในวันเดียวกัน  ได้นำแม่นม  ๖๖  คนเข้าไปให้แก่เด็กทั้งสองนั้นเมื่อเกิดแล้ว ๑๐ เดือน  ในวันตั้งชื่อ ญาติทั้งหลายได้ตั้งชื่อบุตรของนางสารีว่า อุปติสสะ  เพราะเป็นบุตรของหัวหน้าตระกูลในบ้านอุปติสสคาม  ตั้งชื่อบุตรของนางโมคคัลลีว่า โกลิตะ  เพราะ เป็นบุตรของหัวหน้าตระกูลในบ้านโกลิตคาม  เด็กทั้งสองนั้นเจริญวัยขึ้นก็สำเร็จศิลปศาสตร์ทุกอย่าง
                ในเวลาไปยังแม่น้ำหรืออุทยานเพื่อจะเล่น  อุปติสสมาณพมีวอทอง ๕๐๐ หลังเป็นเครื่องแห่แหน  โกลิตมาณพมีรถเทียมม้าอาชาไนย ๕๐๐ คันเป็นเครื่องแห่แหน  คนทั้งสองมีมาณพคนละ   ๕๐๐  เป็นบริวาร
                ในกรุงราชคฤห์  มีมหรสพบนยอดเขาเป็นงานประจำปี  ชนทั้งหลายจัดที่นั่งดูมหรสพสำหรับมาณพทั้งสองนั้นไว้ในที่เดียวกัน  มาณพทั้งสองก็นั่งร่วมกันดูมหรสพ ร่าเริงในฐานะที่ควรร่าเริง  สังเวชในฐานะที่ควรสังเวช  ตกรางวัลในฐานะที่ควรตกรางวัล
วันหนึ่ง เมื่อคนทั้งสองดูมหรสพโดยทำนองนี้แหละ  มิได้มีความร่าเริงในฐานะที่ควรร่าเริง  สังเวชในฐานะที่ควรสังเวช  หรือตกรางวัลในฐานะที่ควรตกรางวัล ทั้งนี้เพราะญาณแก่กล้าแล้ว   คนทั้งสองต่างครุ่นคำนึงอยู่ตลอดเวลาว่า
มีอะไรที่เราจะควรดูในมหรสพนี้  คนเหล่านี้ทั้งหมด ยังไม่ถึง ๑๐๐ ปี ต่างก็จะล้มหายตายจากกันไป  เราควรแสวงหาโมกขธรรมสักอย่างหนึ่ง   
ครั้นแล้ว โกลิตะจึงกล่าวกะอุปติสสะว่า  เพื่อนอุปติสสะ  ท่านใจลอย ไม่สนุกร่าเริงเหมือนวันก่อนๆ  ท่านคิดอะไรหรือ ?
                อุปติสสะตอบว่า  เพื่อนโกลิตะ  เรานั่งคิดถึงเรื่องนี้อยู่ว่า ในการดูคนเหล่านี้ไม่มีแก่นสารเลย  การดูนี้ไม่มีประโยชน์  ควรแสวงหาธรรมเครื่องหลุดพ้นสำหรับตนดีกว่า  ก็ท่านเล่าเพราะเหตุไรจึงใจลอย    โกลิตะก็ตอบว่า ตนก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน
                ครั้นอุปติสสะรู้ว่าโกลิตะมีอัชฌาศัยอย่างเดียวกับตน จึงกล่าวอย่างนี้ว่า  สิ่งที่เราทั้งสองคิดเป็นการคิดที่ดี  เมื่อจะแสวงหาโมกขธรรม ควรจะบวชเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง ดังนั้น พวกเราจักบวชในสำนักใคร ?
                สมัยนั้น สัญชัยปริพาชกอาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์ พร้อมกับปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่  มาณพทั้งสองนั้นจึงตกลงใจบวชในสำนักของสัญชัยปริพาชกนั้นพร้อมกับมาณพ ๕๐๐ คน  
จำเดิมแต่กาลที่มาณพทั้งสองนั้นบวชแล้ว สัญชัยปริพาชกได้ลาภได้ยศเหลือหลาย  มาณพทั้งสองนั้นเรียนจบลัทธิของสัญชัยปริพาชกทั้งหมด โดย ๒-๓ วันเท่านั้น แล้วถามว่า  ท่านอาจารย์  ลัทธิอันเป็นความรู้ของท่านมีเท่านี้ หรือมียิ่งขึ้นไปอีก  สัญชัยปริพาชกกล่าวว่า  มีเท่านี้แหละ พวกเธอรู้หมดแล้ว
                มาณพเหล่านั้นฟังคำตอบของสัญชัยปริพาชกแล้ว คิดกันว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักของสัญชัยปริพาชกนี้ก็ไม่มีประโยชน์  พวกเราออกบวชก็เพื่อแสวงหาโมกขธรรม  พวกเราไม่อาจหาโมกขธรรมได้ในสำนักของสัญชัยปริพาชกนี้  ชมพูทวีปกว้างใหญ่  พวกเราเที่ยวไปยังคามนิคมและราชธานี จักพบอาจารย์สักท่านหนึ่งผู้บรรลุโมกขธรรมได้เป็นแน่
จำเดิมแต่นั้น มาณพทั้งสองนั้นได้ฟังว่า สมณพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตมีอยู่ ณ ที่ใดๆ ก็ไป ณ ที่นั้นๆ  กระทำการสนทนาปัญหา  ปัญหาที่มาณพทั้งสองนั้นถามแล้ว คนอื่นๆ ไม่มีความสามารถที่จะแก้ได้  แต่มาณพทั้งสองแก้ปัญหาของคนอื่นๆ ได้  
มาณพทั้งสองเที่ยวสอบถามไปทั่วชมพูทวีปด้วยอาการอย่างนี้ แล้วกลับมาที่อยู่เดิมของตน ได้ทำกติกากันว่า  ผู้ใดบรรลุอมตะก่อน  ผู้นั้นจะบอกแก่อีกคนหนึ่ง
                สมัยนั้น พระศาสดาของเราทั้งหลายบรรลุพระปรมาภิสัมโพธิญาณแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร เสด็จถึงกรุงราชคฤห์โดยลำดับ   
ครั้งนั้น พระอัสสชิเถระ หนึ่งในภิกษุปัญจวัคคีย์ และเป็นหนึ่งในจำนวนภิกษุทั้งหลายที่ทรงส่งไปประกาศคุณของพระรัตนตรัยว่า  ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก ดังนี้ ในสมัยที่กล่าวกันว่า พระอรหันต์  ๖๑ องค์อุบัติขึ้นแล้วในโลก  ท่านหวนกลับมายังกรุงราชคฤห์  ในวันรุ่งขึ้นถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์แต่เช้าตรู่ 
                สมัยนั้น อุปติสสปริพาชกทำภัตกิจแต่เช้ามืดแล้วเดินไปอารามปริพาชก ได้เห็นพระเถระจึงคิดว่า  ชื่อว่าบรรพชิตรูปอย่างนี้เราไม่เคยเห็นเลย  ท่านผู้นี้คงจะเป็นภิกษุรูปใดรูปหนึ่งในบรรดาภิกษุผู้เป็นอรหันต์ หรือผู้บรรลุอรหัตมรรคในโลก  ถ้ากระไรเราควรเข้าไปหาภิกษุนี้แล้วถามปัญหา
ลำดับนั้น เขาได้มีความคิดว่า มิใช่กาลที่จะถามปัญหากะภิกษุนี้เพราะท่านกำลังเข้าไปยังละแวกบ้านเที่ยวบิณฑบาตอยู่  ไฉนหนอเราพึงติดตามภิกษุนี้ไป เพราะการติดตามไปนั้นจะเป็นทางให้ได้ความรู้ในสิ่งที่ต้องการรู้ 
อุปติสสปริพาชกเห็นพระเถระได้บิณฑบาตแล้วไปยังโอกาสแห่งหนึ่ง ก็รู้ว่าพระเถระนั้นต้องการจะนั่ง จึงได้ลาดตั่งปริพาชกของตนถวาย ในเวลาเสร็จภัตกิจก็ได้ถวายน้ำในคนโทน้ำของตนแก่พระเถระ  กระทำอาจริยวัตรอย่างนี้แล้วกระทำปฏิสันถารอย่างสุภาพกับพระเถระผู้กระทำภัตกิจเสร็จแล้ว โดยถามว่า  ท่านผู้มีอายุ  อินทรีย์ทั้งหลายของท่านผ่องใสนักแล  ฉวีวรรณบริสุทธิ์ผุดผ่อง  ท่านผู้มีอายุ  ท่านบวชจำเพาะใคร หรือใครเป็นศาสดาของท่าน หรือว่าท่านชอบใจธรรมของใคร ?
                พระเถระกล่าวว่า   ผู้มีอายุ  พระมหาสมณะศากยบุตรออกบวชจากศากยตระกูลมีอยู่  เราบวชจำเพาะพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  และพระองค์เป็นศาสดาของเรา  เราชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
                ลำดับนั้น  อุปติสสปริพาชกจึงถามพระเถระว่า  ก็พระศาสดาของท่านผู้มีอายุมีวาทะอย่างไร  สอนอย่างไร
พระเถระคิดว่า  ธรรมดาปริพาชกทั้งหลายนี้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระศาสนา  เราจักแสดงความลึกซึ้งในพระศาสนาแก่ปริพาชกนี้   เมื่อจะถ่อมตนว่าท่านยังเป็นผู้ใหม่จึงกล่าวว่า   ผู้มีอายุ  เรานี้เป็นผู้ใหม่  บวชยังไม่นาน  เพิ่งมาสู่มาสู่ธรรมวินัยนี้  เราไม่อาจแสดงธรรมโดยพิสดารได้ก่อน
                ปริพาชกกล่าวว่า  ข้าพเจ้าชื่ออุปติสสะ  ท่านจงกล่าวเกิด จะน้อยหรือมากตามความสามารถ  การทำความเข้าใจธรรมนั่นด้วยร้อยนัยพันนัย เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าเอง 
                เมื่ออุปติสสะกล่าวอย่างนี้แล้ว  พระเถระจึงกล่าวคาถาว่า

                                เย  ธมฺมา  เหตุปฺปภวา        เตสํ  เหตุ  ตถา  คโต
เตสญฺจ   โย  นิโรโธ           เอวํวาที  มหาสมโณ.
พระมหาสมณเจ้าตรัสแล้ว ซึ่งธรรมทั้งหลายอันมีเหตุเป็นแดนเกิด   
ซึ่งเหตุแห่งธรรมทั้งหลายเหล่านั้น   
                                ซึ่งความดับแห่งธรรมทั้งหลายเหล่านั้น 
                                ซึ่งทางเป็นที่ดับนั้น    ทรงมีพระวาทะอย่างนี้

ปริพาชกฟังเฉพาะ ๒ บาทแรกเท่านั้น ก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรคอันสมบูรณ์ด้วยนัยพันหนึ่ง  เมื่อ ๒ บาทหลังจบลงก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน  ปริพาชกนั้นได้เป็นพระโสดาบันแล้ว แต่เมื่อคุณวิเศษชั้นสูงยังไม่เกิด จึงกำหนดว่า  เหตุในคำสอนนี้จักมี  จึงกล่าวกะพระเถระว่า  ท่านผู้เจริญ  ท่านอย่าขยายธรรมเทศนาให้สูงไป  คำมีประมาณเท่านี้แหละพอแล้ว  พระศาสดาของเราทั้งหลายประทับอยู่ที่ไหน ?
                พระเถระบอกว่า  ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน   ปริพาชกกล่าวว่า  ท่านเจ้าข้า ขอท่านจงล่วงหน้าไปก่อน  ข้าพเจ้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง และได้ทำกติกากันไว้ว่า ผู้ใดบรรลุอมตะก่อน ผู้นั้นจงบอกแก่กัน  ข้าพเจ้าจักเปลื้องปฏิญญาข้อนั้น แล้วพาสหายไปยังสำนักของพระศาสดาตามทางที่ท่านไปนั่นแหละ   กล่าวแล้วหมอบลงแทบเท้าพระเถระด้วยเบญจางคประดิษฐ์  กระทำประทักษิณ    รอบ แล้วส่งพระเถระไป  ส่วนตนก็มุ่งตรงไปยังอารามของปริพาชก  
โกลิตปริพาชกเห็นอุปติสสปริพาชกเดินมาแต่ไกล  คิดว่าวันนี้สหายเรามีสีหน้าไม่เหมือนวันก่อนๆ  เขาจักได้บรรลุอมตะแน่แท้  จึงถามถึงการบรรลุอมตะ
                อุปติสสปริพาชกก็ได้ยืนยันแก่โกลิตปริพาชกว่า  ผู้มีอายุ เราบรรลุอมตะแล้ว   พร้อมทั้งได้กล่าวคาถานั้นให้ฟัง  ในเวลาจบคาถาโกลิตะก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วกล่าวว่า  สหาย  พระศาสดาประทับอยู่ที่ไหน ?    
อุปติสสะกล่าวว่า  สหาย  ทราบว่าพระศาสดาประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน  พระอัสสชิเถระอาจารย์ของพวกเราบอกอย่างนี้   โกลิตะจึงกล่าวว่า  สหาย  ถ้าอย่างนั้น มาเถิด พวกเราจักไปเฝ้าพระศาสดา
                ธรรมดาว่าพระสารีบุตรเถระนี้เป็นผู้บูชาอาจารย์แม้ในกาลทุกเมื่อ  เพราะฉะนั้นจึงกล่าวกะโกลิตมาณพผู้สหายอย่างนี้ว่า  สหาย  เราจักบอกอมตะที่เราบรรลุแก่สัญชัยปริพาชกอาจารย์ของเราด้วย  ท่านรู้อยู่ก็จักแทงตลอด  เมื่อไม่แทงตลอด  เชื่อพวกเรา ก็จักไปยังสำนักของพระศาสดา  ฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วจักแทงตลอดมรรคผล 
                ครั้นแล้ว  คนทั้งสองก็ไปยังสำนักของสัญชัย กล่าวว่า  อาจารย์ขอรับ ท่านจักทำอย่างไร พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก  พระธรรมอันพระพุทธเจ้าตรัสดีแล้ว  พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว  มาเถิด พวกเราจักไปเฝ้าพระทศพล
                สัญชัยปริพาชกกล่าวว่า  พูดอะไรพ่อ  แล้วห้ามคนทั้งสองด้วยเกรงว่าจะเสียลาภอันเลิศและยศอันเลิศอันเกิดเพราะคนทั้งสองนั้น    
สองสหายจึงกล่าวว่า  การที่ข้าพเจ้าจะอยู่เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์เช่นนี้เรื่อยไปนั้นคงจะไม่ได้แล้ว ขอให้ท่านตัดสินใจเถิดว่าจะไปหรือไม่ไป
                สัญชัยปริพาชกรู้ว่า คนเหล่านี้ได้รู้ถึงธรรมที่ตนต้องการแล้ว  คงจะไม่เชื่อถือคำพูดของเราอีกต่อไป  จึงกล่าวว่า  ไปเถิดพ่อทั้งหลาย  เราไม่อาจอยู่เป็นศิษย์ของคนอื่นในคราวเป็นคนแก่                
คนทั้งสองไม่อาจให้สัญชัยปริพาชกยอมเข้าใจได้ แม้จะได้พยายามอธิบายเป็นอันมาก  จึงได้พาคนที่เชื่อตามคำแนะนำของตนไปยังพระเวฬุวัน  
ในบรรดาบริวาร ๕๐๐ คนของคนทั้งสองนั้น  ๒๕๐ คนขอไปกับคนทั้งสอง  ส่วนอีก๒๕๐ คนไม่ยอมไป 
                พระศาสดากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัท ๔  ทรงเห็นสองสหายนั้นแต่ไกล จึงตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  ภิกษุทั้งหลาย  สหายสองคนนั้น คือโกลิตะและอุปติสสะ กำลังเดินมา  คู่สาวกนี้แหละจักเป็นคู่สาวกที่เลิศ ที่เจริญ   ครั้นแล้วก็ทรงขยายพระธรรมเทศนาเนื่องด้วยบุญจริยาที่สองสหายนั้นได้เคยบำเพ็ญมา  
เมื่อจบพระธรรมเทศนา ปริพาชก ๒๕๐ คนนั้นได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ยกเว้นพระอัครสาวกทั้งสอง    
พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า  จงเป็นภิกษุมาเถิด   ผมและหนวดของปริพาชกเหล่านั้นหายไป  บาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ก็ได้มีมาแม้แก่พระอัครสาวกทั้งสองด้วย  แต่มรรคผลที่สูงขึ้นไป คือ พระสกทาคามี  พระอนาคามี  และพระอรหัต ยังไม่สำเร็จแก่พระอัครสาวก ทั้งนี้เพราะสาวกบารมีญาณเป็นของสำคัญ

พระพุทธองค์ประทานอุบายแก้ง่วง


            สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าเภสกลามิคทายวัน ใกล้สุงสุมารคีรีนคร แคว้นภัคคะ  ท่านมหาโมคคัลลานะนั่งโงกง่วงอยู่   บ้านกัลลวาลมุตตคาม  แคว้นมคธ  พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ จึงเสด็จไปปรากฏเฉพาะหน้า แล้วตรัสถามว่า  ดูก่อนโมคคัลลานะ  เธอง่วงหรือ  ท่านพระมหาโมคคัลลานะกราบทูลว่า  อย่างนั้นพระเจ้าข้า
                พระผู้มีพระภาคตรัสว่า 

ดูก่อนโมคคัลลานะ  เพราะเหตุนั้นแหละ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างไรอยู่ ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้ เธอพึงทำไว้ในใจซึ่งสัญญานั้นให้มาก  ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้ 
ถ้าเธอยังละไม่ได้  แต่นั้นเธอพึงตรึกตรองพิจารณาถึงธรรมตามที่ตนได้สดับแล้ว ได้เรียนมาแล้ว ด้วยใจ  ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้
ถ้ายังละไม่ได้  แต่นั้นเธอพึงสาธยายธรรมตามที่ตนได้สดับมาแล้ว ได้เรียนมาแล้วโดยพิสดาร  ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้
ถ้ายังละไม่ได้  แต่นั้นเธอพึงยอนช่องหูทั้งสองข้าง เอามือลูบตัว  ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้   
ถ้ายังละไม่ได้  แต่นั้นเธอพึงลุกขึ้นยืน เอาน้ำล้างตา เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์  ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้ 
ถ้ายังละไม่ได้  แต่นั้นเธอพึงทำในใจถึงอาโลกสัญญา  ตั้งความสำคัญในกลางวันว่า กลางวันอย่างไร กลางคืนอย่างนั้น  กลางคืนอย่างไร กลางวันอย่างนั้น  มีใจเปิดเผยอยู่ฉะนี้  ไม่มีอะไรหุ้มห่อ ทำจิตอันมีแสงสว่างให้เกิด  ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้
ถ้ายังละไม่ได้  แต่นั้นเธอพึงอธิษฐานจงกรม  กำหนดหมายเดินกลับไปกลับมา  สำรวมอินทรีย์  มีใจไม่คิดไปในภายนอก  ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้
ถ้ายังละไม่ได้  แต่นั้นเธอพึงสำเร็จสีหไสยา คือนอนตะแคงเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ  ทำความหมายในอันจะลุกขึ้น  พอตื่นแล้วพึงรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า เราจักไม่ประกอบความสุขในการนอน  ความสุขในการเอนข้าง  ความสุขในการเคลิ้มหลับ   ดูก่อนโมคคัลลานะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล
ดูก่อนโมคคัลลานะ  ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สดับว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น  ครั้นได้สดับดังนั้นแล้ว เธอย่อมรู้ชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอันยิ่ง  ครั้นรู้ชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอันยิ่งแล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง  ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงแล้ว ได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนาเหล่านั้น  พิจารณาเห็นความคลายกำหนัด  พิจารณาเห็นความดับ  พิจารณาเห็นความสละคืน  เมื่อเธอพิจารณาเห็นอย่างนั้นๆ อยู่ ย่อมไม่ยึดมั่นอะไรๆ ในโลก  เมื่อไม่ยึดมั่นย่อมไม่สะดุ้ง  เมื่อไม่สะดุ้งย่อมปรินิพพานเฉพาะตัวทีเดียว  ย่อมรู้ชัดว่า ชาติ (ความเกิด) สิ้นแล้ว  พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว  กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว  กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
          ดูก่อนโมคคัลลานะ โดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แล ภิกษุจึงเป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วน เป็นผู้เกษมจากโยคะล่วงส่วน  เป็นพรหมจารีล่วงส่วน  มีที่สุดล่วงส่วน  ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

                สิ้นเทศนาธาตุกรรมฐาน  พระมหาโมคคัลลานะก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ หลังจากอุปสมบทได้ ๗ วัน ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๓ ในพรรษาแรกของพระพุทธองค์  สำเร็จเป็นพระอรหันต์หลังพระพุทธองค์ ๘ เดือน ๒๒ วัน                
ในเวลาต่อมา พระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ได้ทรงสถาปนาพระมหาโมคคัลลานะไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้มีฤทธิ์มาก
มหาโมคคัลลานะนี้เป็นเลิศ ดังนี้
 
                แม้ว่าท่านจะเกิดพร้อมกันกับพระสารีบุตร  แต่ด้วยท่านเป็นพระอริยบุคคลทีหลัง  พระพุทธองค์จึงทรงถือให้พระมหาโมคคัลลานะเป็นผู้น้องของพระสารีบุตร


ผลงาน และลักษณะโดดเด่นของพระมหาโมคคัลลานะ


            ท่านพระมหาโมคคัลลานะเป็นทั้งอัครสาวกเบื้องซ้าย ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะ  และเป็นพระมหาสาวก  ดังพุทธดำรัสตอนหนึ่งที่ตรัสว่า 

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอจงเสพ  จงคบสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด  ทั้งสองรูปนี้เป็นบัณฑิต  ผู้อนุเคราะห์ผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์  สารีบุตรเปรียบเหมือนผู้ให้กำเนิด  โมคคัลลานะเปรียบเหมือนผู้บำรุงเลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว  สารีบุตรย่อมแนะนำในโสดาปัตติผล  โมคคัลลานะย่อมแนะนำในผลชั้นสูง  สารีบุตรพอที่จะบอก  แสดง  บัญญัติ  แต่งตั้ง  เปิดเผย  จำแนก  ทำให้ง่ายซึ่งอริยสัจ ๔  ได้โดยพิสดาร          
         
                ในสมัยหนึ่ง คราวที่พระเทวทัตได้ประกาศแยกตัวออกจากพระพุทธเจ้า แล้วพาพวกวัชชีบุตรซึ่งเป็นศิษย์ของตนไปอยู่ที่คยาสีสประเทศ  พระพุทธองค์ได้มอบหมายให้พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะไปจัดการปัญหานี้   ท่านทั้งสองได้แสดงธรรมให้ภิกษุวัชชีบุตรและสงฆ์บางส่วนกลับมาอยู่ในสงฆ์ดังเดิม  และปล่อยให้พระเทวทัตและศิษย์ของท่านอยู่กันอย่างโดดเดี่ยว


ความช่ำชองทางฤทธิ์ของพระมหาโมคคัลลานะ


            สมัยหนึ่ง  พระเถระจาริกไปเมืองนรก  อธิษฐานให้เมืองนรกเย็นเพื่อให้เกิดความเบาใจแก่สัตว์ทั้งหลายในนรก ด้วยกำลังฤทธิ์ของตนแล้ว  เนรมิตดอกปทุมขนาดเท่าล้อ  นั่ง   กลีบปทุม แสดงธรรมกถา
                สมัยหนึ่ง  นันโทปนันทนาคราชเกิดความคิดอันชั่วช้าเห็นปานนี้ขึ้นว่า  พวกสมณะหัวโล้นเหล่านี้ เข้าๆ ออกๆ ยังที่อยู่ของพวกเทพดาวดึงส์โดยทางเบื้องบนที่อยู่ของพวกเรา  ตั้งแต่บัดนี้ไปเราจะไม่ให้พวกสมณะเหล่านี้โปรยขี้ตีนลงบนหัวของเราไป     คิดแล้วจึงไปยังเชิงเขาสิเนรุ  เนรมิตกาย เอาขนดวงรอบเขาสิเนรุ ๗ รอบ แล้วแผ่พังพานข้างบน  เอาพังพานคว่ำลงงำเอาภพดาวดึงส์ไว้ ทำให้มองไม่เห็น
                พระอรหันต์หลายองค์ทูลขออาสาไปปราบพญานาค แต่พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาต
พระมหาโมคคัลลานเถระจึงกราบทูลว่า  ข้าพระองค์ขอทรมานนาคราชนั้น  พระเจ้าข้า   พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า โมคคัลลานะ  เธอจงทรมาน  
พระเถระเปลี่ยนอัตภาพนิรมิตเป็นนาคราชใหญ่  เอาขนดหางวงรอบนันโทปนันทนาคราชแล้ว  กดเข้ากับเขาสิเนรุ
ลำดับนั้น  นาคราชจึงโพลงไฟ  ฝ่ายพระเถระกล่าวว่า จะมีแต่ไฟในร่างกายของท่านเท่านั้นก็หาไม่ แม้ของเราก็มี  จึงโพลงไฟ   ไฟของนาคราชไม่เบียดเบียนพระเถระ  แต่ไฟของพระเถระเบียดเบียนนาคราช   นาคราชคิดว่า ภิกษุรูปนี้กดเราเข้ากับเข้าสิเนรุแล้วบังหวนควันและทำให้ไฟโพลง  จึงสอบถามว่า  ผู้เจริญ ท่านเป็นใคร 
                พระเถระตอบว่า  นันทะ  เรานี้แหละคือโมคคัลลานะ
                นาคราชกล่าวว่า  ท่านผู้เจริญ ท่านจงดำรงอยู่โดยภิกขุภาวะของตนเถิด
                พระเถระจึงเปลี่ยนอัตภาพนั้น แล้วเข้าไปทางช่องหูขวาของนาคราช แล้วออกทางช่องหูซ้าย  เข้าทางช่องหูซ้ายแล้วออกทางช่องหูขวา  เข้าทางช่องจมูกขวา ออกทางช่องจมูกซ้าย  เข้าทางช่องจมูกซ้ายแล้วออกทางช่องจมูกขวา 
ลำดับนั้น นาคราชได้อ้าปาก  พระเถระจึงเข้าทางปากแล้วเดินจงกรมอยู่ภายในท้องทางด้านทิศตะวันออกบ้าง  ด้านทิศตะวันตกบ้าง
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  โมคคัลลานะ  เธอจงระวัง นาคมีฤทธิ์มากนะ  พระเถระกราบทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  อิทธิบาท ๔ ข้าพระองค์เจริญแล้ว  กระทำให้มากแล้ว  กระทำให้เป็นดุจยาน  กระทำให้เป็นดุจวัตถุที่ตั้ง  ตั้งมั่นแล้ว  สั่งสมไว้แล้ว  ปรารภไว้ดีแล้ว  นันโทปนันทะจงยกไว้เถิดพระเจ้าข้า  นาคราชเช่นกับนันโทปนันทะตั้งร้อยก็ดี  ตั้งพันก็ดี  ข้าพระองค์ก็พึงทรมานได้
                นาคราชคิดว่า  เมื่อตอนเข้าไปเราไม่ทันเห็น  ในเวลาออกในบัดนี้เราจักเอาเข้าในระหว่างเขี้ยวแล้วเคี้ยวกินเสีย   ครั้นคิดแล้วจึงกล่าวว่า  ขอท่านจงออกมาเถิด อย่าเดินไปๆ มาๆ ในภายในท้องทำข้าพเจ้าให้ลำบากเลย   
พระเถระได้ออกไปยืนข้างนอก   นาคราชเห็นว่าอยู่นี่เอง จึงพ่นลมทางจมูก   พระเถระเข้าจตุตถฌาน แม้ขุมขนของพระเถระลมก็ไม่สามารถทำให้ไหวได้    
นัยว่าภิกษุทั้งหลายอื่นๆ สามารถทำปาฏิหาริย์ทั้งมวลได้จำเดิมแต่ต้น แต่พอถึงตอนนี้จักไม่สามารถสังเกตได้รวดเร็วอย่างนี้แล้วเข้าสมาบัติ  เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคจึงไม่ทรงอนุญาตให้ภิกษุเหล่านั้นทรมานนาคราช
                นาคราชคิดว่า  เราไม่สามารถเพื่อจะทำแม้ขุมขนของสมณะนี้ให้ไหวได้ด้วยลมจมูก  สมณะนี้มีฤิทธิ์มาก   คิดแล้วจึงผละหนี  พระเถระก็นิรมิตกายเป็นครุฑไล่ติดตามนาคราชไป 
นาคราชจึงนิรมิตตนเป็นมาณพน้อย แล้วกล่าวว่า  ท่านผู้เจริญ  ข้าพเจ้าขอถึงท่านเป็นสรณะ  แล้วไหว้เท้าพระเถระ   พระเถระกล่าวว่า  นันทะ พระศาสดาเสด็จมาด้วย  ท่านจงไปเฝ้าพระองค์เถิด
ท่านทรมานนาคราชทำให้หมดพยศแล้วได้พาไปเฝ้าพระศาสดา  นาคราชถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วกราบทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ขอถึงพระองค์เป็นสรณะ    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ท่านจงเป็นสุขเถิดนาคราช 

                ได้ทราบว่า ท่านผู้บรรลุอภิญญาใหญ่แล้วระลึกชาติได้อสงไขยหนึ่งยิ่งด้วยแสนกัป  ในศาสนาของพระศาสดาของพวกเรา มีเพียง    ท่านเท่านั้น  คือ  พระสารีบุตรเถระ  พระมหาโมคคัลลานเถระ  พระพากุลเถระ  และ พระนางภัททากัจจานาเถรี

พระมหาโมคคัลลานะปรินิพพาน


            สมัยหนึ่ง  พวกเดียรถีย์ประชุมกันปรึกษากันว่า อาวุโสทั้งหลาย  พวกท่านรู้ไหม เพราะเหตุไรลาภสักการะจึงบังเกิดมากมายแก่พระสมณโคดม ? 
พวกเดียรถีย์หมู่หนึ่งกล่าวว่า พวกเราไม่รู้  ก็ท่านรู้หรือ ? 
พวกเดียรถีย์อีกหมู่หนึ่งกล่าวว่า  เออ  เรารู้  ลาภสักการะเกิดขึ้นเพราะอาศัยภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อโมคคัลลานะ  ด้วยว่าพระโมคคัลลานะนั้นไปยังเทวโลก  ถามถึงกรรมที่เหล่าเทวดากระทำ  แล้วกลับมาบอกแก่พวกมนุษย์ว่า  พวกเขาทำกรรมอย่างนี้จึงได้สมบัติเห็นปานนี้  และถามกรรมของพวกที่เกิดในนรก แล้วกลับมาบอกแก่พวกมนุษย์ว่า พวกเขาทำกรรมอย่างนี้จึงได้เสวยทุกข์เห็นปานนี้  มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังถ้อยคำของพระมหาโมคคัลลานะแล้วจึงน้อมนำลาภสักการะเป็นอันมากไปถวาย 
เดียรถีย์ทั้งหมดได้มีฉันทะเป็นอย่างเดียวกันว่า  ถ้าพวกเราอาจฆ่าพระโมคคัลลานะนั้น  ลาภสักการะนั้นจักบังเกิดแก่พวกเรา  อุบายนี้น่าจะใช้ได้  แล้วคิดกันว่า  พวกเราจักกระทำอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งฆ่าพระโมคคัลลานะนั้นเสีย  จึงชักชวนพวกอุปัฏฐากของตนได้กหาปณะหนึ่งพัน ให้เรียกโจรนักฆ่าคนมาแล้วบอกว่า  ชื่อว่าพระมหาโมคคัลลานเถระสาวกของพระสมณโคดม อยู่    กาฬศิลาประเทศ  พวกเอ็งจงไป   ที่นั้น แล้วฆ่าพระโมคคัลลานะนั้นเสีย  ครั้นกล่าวแล้วได้ให้กหาปณะหนึ่งพันแก่โจรเหล่านั้น
                พวกโจรรับคำเพราะได้ทรัพย์ พากันกล่าวว่า  พวกเราจักฆ่าพระเถระ  จึงไปล้อมสถานที่อยู่ของพระเถระนั้น  พระเถระรู้ว่าพวกโจรเหล่านั้นล้อมตนอยู่จึงหนีออกไปทางช่องกุญแจ   พวกโจรไม่เห็นพระเถระในวันนั้นจึงพากันล้อมสถานที่อยู่ของพระเถระไว้
                ในวันรุ่งขึ้น พระเถระก็รู้ตัวอีก จึงทำลายมณฑลช่อฟ้าแล้วเหาะไป  เมื่อเป็นอย่างนั้นพวกโจรเหล่านั้นจึงไม่อาจจับพระเถระทั้งในเดือนต้นและเดือนกลาง  แต่เมื่อถึงเดือนหลังพระเถระรู้ว่ากรรมที่ตนกระทำไว้ชักพามา จึงไม่หลบหนี  พวกโจรช่วยกันตีพระเถระทุบจนกระดูกแหลกเป็นเมล็ดข้าวสาร  มั่นใจว่าพระเถระตายแน่แล้วจึงโยนร่างของท่านทิ้งไปที่พุ่มไม้แห่งหนึ่งแล้วพากันหนีไป
                ฝ่ายพระเถระคิดว่า  เราจักไปเฝ้าพระศาสดา กราบทูลลาก่อนแล้วจึงจักปรินิพพาน  ท่านจึงประสานร่างของท่านด้วยอำนาจฌาน แล้วเหาะไปเฝ้าพระศาสดา  ถวายอภิวาทแล้วกราบทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักปรินิพพาน
                พระศาสดาตรัสว่า  เธอจักปรินิพพานหรือโมคคัลลานะ ?
                พระเถระกราบทูลว่า  พระเจ้าข้า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระศาสดา.    เธอจักปรินิพพานที่ไหน ?
พระเถระ.       จะไปยังกาฬศิลาประเทศ พระเจ้าข้า
พระศาสดา.    โมคคัลลานะ  ถ้าอย่างนั้นเธอจงกล่าวธรรมแก่เราแล้วค่อยไปเถิด  เพราะตั้งแต่บัดนี้ไปเราจะไม่ได้เห็นสาวกเช่นเธออีกต่อไป
                พระเถระกราบทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักทำอย่างนั้นพระเจ้าข้า  แล้วถวายอภิวาทพระศาสดา  เหาะขึ้นสู่อากาศ  กระทำฤทธิ์มีประการต่างๆ  เหมือนพระสารีบุตรเถระกระทำในวันปรินิพพาน แล้วกล่าวธรรม  ทูลลาพระศาสดาไปยังกาฬศิลา แคว้นมคธ แล้วปรินิพพาน   ที่นั้น  เมื่อวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒  หลังพระสารีบุตรนิพพานได้ ๑๕ วัน และก่อนพุทธปรินิพพานประมาณ ๕ เดือนครึ่ง
                เรื่องที่พวกโจรฆ่าพระเถระนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งชมพูทวีป  พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทรงแต่งพวกจารบุรุษเพื่อให้สืบหาคนร้าย 
วันหนึ่ง พวกโจรที่ฆ่าพระเถระไปดื่มสุราในโรงสุราจนเมามาย โจรคนหนึ่งถองหลังของโจรคนหนึ่งให้ล้มลงไป  โจรคนนั้นก็ตะคอกโจรที่ถองตนนั้นว่า  เฮ้ย ไอ้หัวดื้อ  เหตุไรเอ็งจึงถองหลังข้าทำให้ล้มลง  เฮ้ย  ไอ้วายร้าย  ก็พระมหาโมคคัลลานเถระน่ะเอ็งเป็นคนลงมือก่อนหรือ  
โจรที่ถองหลังจึงกล่าวว่า  เอ็งไม่รู้ดอกหรือว่าข้านี่แหละเป็นคนลงมือก่อน
                เมื่อโจรเหล่านั้นพูดกันอยู่ว่า ข้าเป็นคนลงมือ ข้าเป็นคนลงมือ  ดังนี้  จารบุรุษ (คือนักสืบ) ได้ฟังแล้วจึงจับโจรเหล่านั้นทั้งหมดแล้วกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ    พระราชารับสั่งให้เอาโจรเหล่านั้นมาสอบสวน  
พระราชา.    พวกเจ้าฆ่าพระเถระหรือ ? 
พวกโจร.      พระเจ้าข้า  ข้าแต่สมมติเทพ 
พระราชา.    ใครสั่งให้พวกเจ้าทำ ? 
พวกโจร.      พวกสมณะเปลือยพระเจ้าข้า
พระราชารับสั่งให้จับพวกสมณะเปลือยทั้ง  ๕๐๐  คน  แล้วให้ฝังในหลุมประมาณเพียงสะดือที่ท้องสนามหลวง พร้อมกับพวกโจรทั้ง  ๕๐๐  คน  แล้วให้เอาฟางสุมแล้วจุดไฟเผา แล้วให้เอาไถเหล็กไถ  ให้ทำคนทั้งหมดให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ 
                คราวนั้น  ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาว่า  พระมหาโมคคัลลานเถระถึงแก่มรณะไม่เหมาะสมแก่ตน  พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า  ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันเรื่องอะไร  เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า  ภิกษุทั้งหลาย  ความตายของโมคคัลลานะไม่เหมาะสมในชาตินี้เท่านั้น  แต่เหมาะสมแท้แก่กรรมที่เธอทำไว้ในชาติก่อน  
ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ก็บุพกรรมของพระเถระนั้นเป็นอย่างไรพระเจ้าข้า 
พระพุทธองค์จึงตรัสบุพกรรมนั้นโดยพิสดารว่า

                ในอดีตกาล มีกุลบุตรคนหนึ่งในนครพาราณสี  กระทำการงานมีการซ้อมข้าวและหุงข้าวเป็นต้นด้วยตนเอง ปฏิบัติบิดามารดาซึ่งตาบอดทั้งสองคน   ต่อมาบิดามารดาของเขาจึงกล่าวว่า  ลูกเอ๋ย เจ้าผู้เดียวกระทำการงานทั้งในบ้านและในป่า  ลำบากนัก  เราจักนำนางกุมาริกาคนหนึ่งมาให้เจ้า  แม้กุลบุตรนั้นจะห้ามว่า  ข้าแต่คุณพ่อและคุณแม่  ท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ตราบใด  ลูกจักบำรุงคุณพ่อและคุณแม่ด้วยมือของลูกเองตราบนั้น ดังนี้  ก็ยังขอร้องอยู่แล้วๆ เล่าๆ  แล้วนำนางกุมาริกามาให้    
กุมาริกานั้นปรนนิบัติบิดามารดาของเขาได้ ๒ - ๓ วันเท่านั้น  ภายหลังไม่ปรารถนาแม้จะมองคนทั้งสองนั้น  ได้บอกสามีว่า  ดิฉันไม่อาจอยู่ในที่เดียวกันกับบิดามารดาของท่าน  เมื่อกุลบุตรนั้นไม่เชื่อถือถ้อยคำของตน ในเวลาเขาออกไปข้างนอก จึงเอาชิ้นเปลือกปอและฟองข้าวยาคูมาโรยในที่นั้นๆ ทำให้รุงรังเลอะเทอะ  เมื่อกุลบุตรนั้นกลับมาแล้วถามว่า  นี้อะไรกัน  นางจึงกล่าวว่า นี่เป็นการกระทำของคนทั้งแก่ทั้งบอดเหล่านี้  เขาเที่ยวกระทำให้สกปรกไปทั่วเรือน  ฉันไม่อาจอยู่ในที่เดียวกันกับคนเหล่านี้  
เมื่อนางกล่าวอยู่บ่อยๆ  อย่างนี้  แม้จะเป็นผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้วเห็นปานนี้  กุลบุตรนั้นก็แตกกับบิดามารดา 
                กุลบุตรนั้นจึงกล่าวว่า  เอาเถอะ  ฉันรู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับคนสองคนนี้  จึงให้บิดามารดาบริโภคแล้วกล่าวว่า  ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ พวกญาติของท่านทั้งสองที่บ้านโน้นอยากให้เราไปเยี่ยม  พวกเราจักไปที่นั่นกัน  ดังนี้ แล้วยกบิดามารดาขึ้นยานน้อยพาไป 
เมื่อไปถึงกลางดงจึงบอกว่า  ข้าแต่พ่อ ท่านจงถือเชือกบังเหียนไว้ ในที่นี้มีพวกโจรอยู่  ฉันจะลงเดินไป  แล้วให้บิดาถือเชือก  ตนเองลงเดินไป  แล้วดัดเสียงให้เป็นเสียงพวกโจรกำลังจะเข้าปล้น  
บิดามารดาได้ยินเสียง สำคัญว่าโจรเข้าปล้น จึงบอกว่า  ลูกเอ๋ย พวกโจรเข้าปล้นแล้ว  พ่อแม่แก่แล้วอย่าห่วงเลย  ลูกจงเอาตัวรอดไปเถิด
               ขณะที่บิดามารดากำลังร้องอยู่นั่นเอง  เขาก็กระทำเสียงโจร ทุบให้ตายแล้วโยนทิ้งไปในดงแล้วกลับมา

                พระศาสดา ครั้นตรัสบุพกรรมนี้ของพระเถระแล้วจึงตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  โมคคัลลานะกระทำกรรมมีประมาณเท่านี้ ไหม้อยู่ในนรกหลายแสนปี  ด้วยผลวิบากที่เหลือเพียงเท่านั้นจึงเป็นผู้ถูกทุบจนแหลกละเอียดถึงแก่ความตายเช่นเดียวกันนั้นตั้งร้อยชาติ  โมคคัลลานะได้ความตายอันสมควรแก่กรรมของตนอย่างนี้ทีเดียว  ฝ่ายพวกเดียรถีย์  ๕๐๐  กับโจร  ๕๐๐  ประทุษร้ายบุตรของเราผู้ไม่ประทุษร้าย  ก็ได้ความตายอันสมควรเหมือนกัน เพราะผู้ประทุษร้ายคนผู้ไม่ประทุษร้ายย่อมถึงความพินาศเพราะเหตุ  ๑๐  ประการนั่นเทียว  ดังนี้แล้วได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า

บุคคลใดประทุษร้ายคนผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้ไม่มีอาชญา
ด้วยอาชญา  บุคคลนั้นย่อมพลันเข้าถึงฐานะ ๑๐ อย่าง
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ  ย่อมถึงเวทนาอันเผ็ดร้อน ๑ 
ความเสื่อม ๑ ความแตกทำลายแห่งสรีระ ๑  อาพาธ
หนัก ๑  ความฟุ้งซ่านแห่งจิต    ความขัดข้องแต่พระ
ราชา    การกล่าวตู่อย่างร้ายแรง ๑  ความสิ้นญาติ ๑ 
ความเสื่อมสิ้นแห่งโภคทรัพย์    ไฟย่อมไหม้เรือน
ของเขา ๑  เมื่อกายแตกทำลาย คนปัญญาทรามนั้น
ย่อมเข้าถึงนรก  ดังนี้


ตั้งความปราถนาในอดีตชาติ

            ในที่สุดอสงไขยกัปยิ่งด้วยแสนกัปนับแต่กัปนี้ ท่านพระสารีบุตรบังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ชื่อ สรทมาณพ   ท่านพระมหาโมคคัลลานะบังเกิดในตระกูลคฤหบดีมหาศาล ชื่อ สิริวัฑฒกุฎุมพี  ทั้งสองคนเป็นเพื่อนเล่นฝุ่นด้วยกันมา   เมื่อบิดาล่วงลับไป  สรทมาณพก็ได้ครอบครองทรัพย์เป็นอันมากซึ่งเป็นสมบัติของสกุล  
วันหนึ่ง สรทมาณพอยู่ในที่ส่วนตัว คิดว่า เราไม่รู้อัตภาพในโลกนี้ ไม่รู้อัตภาพในโลกอื่น ขึ้นชื่อว่าความตายเป็นของแน่สำหรับเหล่าสัตว์ที่เกิดมาแล้ว  ควรที่เราจะถือบวชสักอย่างหนึ่งแสวงหาโมกขธรรม
สรทมาณพนั้นไปหาสหาย กล่าวว่า  เพื่อนสิริวัฑฒ์ เราจักบวชแสวงหาโมกขธรรม เพื่อนจักบวชพร้อมกับเราได้ไหม   สิริวัฑฒกุฎุมพีตอบว่า ยังบวชไม่ได้ดอกเพื่อน เพื่อนบวชคนเดียวเถิด
สรทมาณพคิดว่า คนเมื่อไปปรโลก จะพาสหายหรือญาติมิตรไปด้วยหามีไม่  กรรมที่ตนทำก็เป็นของตนผู้เดียว     
ครั้นแล้วจึงสั่งให้เปิดเรือนคลังรัตนะ ให้มหาทานแก่คนกำพร้า คนเดินทางไกล วณิพกและยาจกทั้งหลาย  แล้วออกบวชเป็นฤๅษี มีคนบวชตามสรทมาณพนั้นทีละคนสองคน กลายเป็นดาบสจำนวนประมาณ  ๗๔,๐๐๐ รูป  สรทฤๅษีนั้นสำเร็จอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ แล้วก็สอนกสิณบริกรรมแก่ดาบสเหล่านั้น  ดาบสเหล่านั้นก็ได้สำเร็จอภิญญา  ๕ สมาบัติ ๘ หมดทุกรูป
                สมัยนั้น พระพุทธเจ้าพระนามว่า อโนมทัสสี ทรงอุบัติขึ้นในโลก  พระนครชื่อว่า จันทวดี  พระพุทธบิดาเป็นกษัตริย์พระนามว่า ยศวันตะ  พระพุทธมารดาเป็นพระเทวีพระนามว่า ยโสธรา   ต้นไม้ที่ตรัสรู้ ชื่อว่าอัชชุนพฤกษ์ (ต้นกุ่ม หรือต้นรกฟ้าขาวก็ว่า)   พระอัครสาวกทั้งสอง ชื่อว่า พระนิสภเถระ และ พระอโนมเถระ   พระพุทธอุปัฏฐากชื่อ พระวรุณเถระ พระอัครสาวิกาทั้งสอง ชื่อ สุนทรา และ สุมนา   ทรงมีพระชนมายุหนึ่งแสนปี  พระวรกายสูง ๕๘ ศอก  รัศมีพระวรกายแผ่ไป ๑๒ โยชน์  มีภิกษุเป็นบริวารหนึ่งแสนรูป  
อยู่มาวันหนึ่ง พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าเสด็จออกจากพระมหากรุณาสมาบัติ  ทรงตรวจดูโลกเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นสรทดาบส  ทรงพระดำริว่า วันนี้เพราะเราไปหาสรทดาบสเป็นปัจจัย จักมีธรรมเทศนาอันมีประโยชน์ยิ่งใหญ่  และสรทดาบสนั้นจักปรารถนาตำแหน่งอัครสาวก  สิริวัฑฒกุฎุมพีสหายของเขาจักปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกที่ ๒  จบเทศนา ดาบส ๗๔,๐๐๐ รูปบริวารของเขาจักบรรลุพระอรหัต  ควรที่เราจะไปที่นั้น   
ครั้นมีพุทธดำริดังนี้แล้ว ทรงถือบาตรและจีวรของพระองค์  ไม่ตรัสบอกใครอื่น เสด็จลำพังพระองค์เดียวเหมือนราชสีห์  เมื่อเหล่าอันเตวาสิกศิษย์ของสรทดาบสออกไปแสวงหาผลาผล ทรงอธิษฐานว่า  ขอสรทดาบสจงรู้ว่าเราเป็นพระพุทธเจ้า  เมื่อสรทดาบสกำลังมองเห็นอยู่นั่นเองก็เสด็จลงจากอากาศ ประทับยืนบนพื้นดิน
                สรทดาบสเห็นพระพุทธานุภาพและพระสรีรสมบัติของพระองค์ จึงพิจารณาลักษณมนต์  ก็รู้ว่า อันว่าผู้ประกอบด้วยลักษณะเช่นนี้ เมื่ออยู่ครองเรือนก็ต้องเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ  เมื่อบวชก็ต้องเป็นพระสัพพัญญูพุทธะ ผู้ทรงเปิดกิเลสดุจหลังคาเสียแล้วในโลก  มหาบุรุษผู้นี้ต้องเป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย 
คิดดังนี้แล้ว สรทดาบสจึงออกไปต้อนรับ ถวายอภิวาทด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ปูอาสนะถวาย  พระผู้มีพระภาคประทับนั่งเหนืออาสนะที่ปูแล้ว  ฝ่ายสรทดาบสก็ถือเอาอาสนะที่สมควรแก่ตน นั่ง   ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  
เวลานั้นดาบส ๗๔,๐๐๐ รูป ก็ถือผลาผลมีโอชะอันประณีตๆ มาถึงสำนักของอาจารย์  มองดูอาสนะที่พระพุทธเจ้าประทับและที่อาจารย์นั่ง แล้วกล่าวว่า  ท่านอาจารย์  พวกเราพากันประพฤติพรตด้วยเข้าใจว่าไม่มีใครเป็นใหญ่กว่าท่านในโลกนี้  แต่บุรุษผู้นี้เห็นทีจะใหญ่กว่าท่านแน่     
สรทดาบสกล่าวว่า  พ่อเอ๋ย พูดอะไร  พวกเจ้าประสงค์จะเปรียบขุนเขาสิเนรุ ซึ่งสูงหกล้านโยชน์ทำให้เท่ากับเมล็ดพันธุ์ผักกาด  ลูกเอ๋ย พวกเจ้าอย่าเปรียบเรากับพระสัพพัญญูพุทธะเลย    
ครั้งนั้น  ดาบสเหล่านั้นคิดว่า  ถ้าบุรุษผู้นี้จักเป็นผู้ต่ำช้าแล้วไซร้ อาจารย์ของเราคงไม่นำมาเปรียบเช่นนี้ ที่แท้บุรุษผู้นี้ต้องเป็นใหญ่แน่   ดาบสทุกรูปจึงหมอบแทบเบื้องพระยุคลบาท อภิวาทด้วยเศียรเกล้า
                ลำดับนั้น อาจารย์จึงกล่าวกะดาบสเหล่านั้นว่า  พ่อเอ๋ย ไทยธรรมของเราที่คู่ควรแก่พระพุทธเจ้าไม่มีเลย  พระศาสดาเสด็จมาแล้วในที่นี้ในเวลาภิกขาจาร  พวกเราจักถวายไทยธรรมตามกำลัง  พวกเจ้าจงนำผลาผลของเราที่ประณีตๆ มา   ว่าแล้วก็สั่งศิษย์ให้นำผลไม้มา  ล้างมือแล้วก็วางไว้ในบาตรของพระตถาคตด้วยตนเอง  พอพระศาสดาทรงรับผลาผล  เทวดาทั้งหลายก็ใส่ทิพโอชะลง  ดาบสก็กรองน้ำถวายด้วยตนเอง  
                ลำดับนั้น เมื่อพระศาสดาประทับนั่งเสวยเสร็จแล้ว  ดาบสก็เรียกศิษย์มาทุกคน นั่งสนทนาด้วยถ้อยคำที่เป็นสาราณียกถา (ถ้อยคำที่ชวนให้ระลึกถึงกัน)  ในสำนักพระศาสดา
                พระศาสดาทรงดำริว่า  พระอัครสาวกทั้งสองจงมาพร้อมกับภิกษุสงฆ์   พระอัครสาวกรู้พระดำริของพระศาสดา จึงมาพร้อมด้วยพระขีณาสพแสนองค์เป็นบริวาร  ถวายอภิวาทพระศาสดา แล้วยืน   ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
                ลำดับนั้น สรทดาบสเรียกพวกศิษย์มาพูดว่า  พ่อทั้งหลาย อาสนะที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งก็ต่ำ  อาสนะที่พระสมณะแสนองค์นั่งก็ไม่มี  วันนี้ควรที่เธอทั้งหลายจะกระทำพุทธสักการะให้โอฬาร  เธอทั้งหลายจงนำดอกไม้ที่สมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นจากเชิงเขามา  
เวลาที่กำลังพูดกันอยู่นั้นย่อมเป็นเหมือนเนิ่นนาน แต่วิสัยของผู้มีฤทธิ์เป็นอจินไตย  เพราะเหตุนั้น ดาบสเหล่านั้นจึงนำดอกไม้ที่สมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นมาโดยกาลชั่วครู่เดียวเท่านั้น  ตกแต่งอาสนะดอกไม้ประมาณโยชน์หนึ่งสำหรับพระพุทธเจ้า   ประมาณ   คาวุตสำหรับพระอัครสาวก  ประมาณกึ่งโยชน์เป็นต้นสำหรับภิกษุที่เหลือ  และประมาณอุสภะหนึ่งสำหรับภิกษุผู้ใหม่ในสงฆ์     
เมื่อตกแต่งอาสนะเสร็จเรียบร้อยแล้ว  สรทดาบสยืนประคองอัญชลีตรงพระพักตร์พระตถาคต แล้วกราบทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ขอจงเสด็จขึ้นอาสนะดอกไม้นี้เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิด
                พระพุทธเจ้าได้ประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้ตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน ทำจิตของสรทดาบสให้ผ่องใส ทำโลกพร้อมทั้งเทวดาให้ร่าเริง
                เมื่อพระศาสดาประทับนั่งอย่างนี้แล้ว พระอัครสาวกทั้งสองกับเหล่าภิกษุที่เหลือก็นั่งบนอาสนะอันถึงแล้วแก่ตน  สรทดาบสถือฉัตรดอกไม้ใหญ่ยืนกั้นเหนือพระเศียรพระตถาคต     
พระศาสดาทรงเข้านิโรธสมาบัติด้วยพระดำริว่า  สักการะนี้จงมีผลมากแก่ชฎิลทั้งหลาย   พระอัครสาวกทั้งสองก็ดี  ภิกษุที่เหลือก็ดี  รู้ว่าพระศาสดาทรงเข้าสมาบัติ  ก็พากันเข้าสมาบัติ  เมื่อพระตถาคตนั่งเข้านิโรธสมาบัติตลอด ๗ วัน  พวกดาบสที่เป็นศิษย์ เมื่อถึงเวลาภิกขาจาร ก็บริโภคมูลผลาหารของป่า  เวลาอื่นๆ ก็ยืนประคองอัญชลีแด่พระพุทธเจ้า   ส่วนสรทดาบสแม้ภิกขาจารก็ไม่ไป  ยับยั้งอยู่ด้วยปีติและสุขทั้ง ๗ วันโดยอาการที่ถือฉัตรดอกไม้อยู่นั่นแหละ
                พระศาสดาทรงออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว  ตรัสเรียกพระนิสภเถระอัครสาวกผู้นั่งอยู่   เบื้องขวาว่า  นิสภะ เธอจงทำบุบผาสนานุโมทนาแก่ดาบสทั้งหลายผู้กระทำสักการะ     
พระเถระมีอาการเหมือนทหารใหญ่ได้ลาภมากจากสำนักของพระเจ้าจักรพรรดิ  ตั้งอยู่ในสาวกบารมีญาณ เริ่มอนุโมทนาเกี่ยวกับการถวายอาสนะดอกไม้ 
ในเวลาจบเทศนาของพระอัครสาวกนั้น พระศาสดาจึงตรัสเรียกทุติยสาวกว่า  ภิกษุ  แม้เธอก็จงแสดงธรรม 
ฝ่ายพระอโนมเถระพิจารณาพระไตรปิฎกพุทธวจนะมากล่าวธรรมกถา  
ด้วยเทศนาของพระอัครสาวกทั้งสอง แม้ดาบสสักรูปหนึ่งก็ไม่ได้ตรัสรู้ 
ลำดับนั้น พระศาสดาทรงดำรงอยู่ในพุทธวิสัยอันหาประมาณไม่ได้ ทรงเริ่มพระธรรมเทศนา ในเวลาจบเทศนา ดาบสทั้งหมดจำนวน ๗๔,๐๐๐ รูปบรรลุพระอรหัต ยกเว้นสรทดาบส  ดาบสเหล่านั้นทูลขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
ถามว่า   เพราะเหตุไร  สรทดาบสจึงไม่บรรลุพระอรหัต
ตอบว่า  เพราะมีจิตฟุ้งซ่าน
ได้ยินว่า จำเดิมตั้งแต่เริ่มฟังเทศนาของพระอัครสาวกผู้นั่งบนอาสนะที่สองของพระพุทธเจ้า  ผู้ตั้งอยู่ในสาวกบารมีญาณแสดงธรรมอยู่  สรทดาบสนั้นเกิดความคิดขึ้นว่า  โอหนอ แม้เราก็ควรได้หน้าที่ที่พระสาวกนี้ได้ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้จะเสด็จอุบัติขึ้นในอนาคต   สรทดาบสนั้นไม่อาจทำให้แจ้งมรรคผลก็เพราะความปริวิตกนั้น จึงถวายอภิวาทพระตถาคตแล้วยืนตรงพระพักตร์กราบทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุผู้นั่งบนอาสนะติดกับพระองค์ชื่อไรในศาสนาของพระองค์   
พระศาสดาตรัสว่า  ภิกษุนี้ผู้ประกาศตามพระธรรมจักรที่เราประกาศแล้ว ถึงที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ  แทงตลอดโสฬสปัญหา ชื่อว่านิสภเถระ อัครสาวกในศาสนาของเรา   
สรทดาบสได้ฟังแล้วจึงได้ตั้งความปรารถนาว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์กั้นฉัตรดอกไม้ตลอด ๗ วัน กระทำสักการะนี้ใด  ด้วยผลของสักการะนี้นั้นข้าพระองค์มิได้ปรารถนาเป็นท้าวสักกะหรือเป็นพรหมสักอย่างหนึ่ง  แต่ในอนาคตขอให้ข้าพระองค์พึงเป็นพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเหมือนพระนิสภเถระนี้เถิด
                พระศาสดาทรงเล็งอนาคตังสญาณไปตรวจดูว่า ความปรารถนาของดาบสนี้จักสำเร็จไหมหนอ   ก็ได้ทรงเห็นว่า ล่วงไปหนึ่งอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปจะสำเร็จ  ครั้นทรงเห็นแล้วจึงตรัสกะสรทดาบสว่า  ความปรารถนาอันนี้ของท่านจักไม่เป็นของเปล่า  แต่ในอนาคตล่วงไปหนึ่งอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป  พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคดมจักอุบัติขึ้นในโลก จักมีพระพุทธมารดานามว่า มหามายาเทวี  มีพระพุทธบิดานามว่า  สุทโธทนมหาราช  มีพระโอรสนามว่า ราหุล  มีพระอุปัฎฐากนามว่า อานนท์  มีพระทุติยสาวกนามว่า โมคคัลลานะ  ส่วนตัวท่านจักเป็นพระอัครสาวกของพระโคดมนั้น  นามว่า ธรรมเสนาบดีสารีบุตร    
ครั้นทรงพยากรณ์ดาบสนั้นอย่างนี้แล้ว ก็ตรัสธรรมกถา  แล้วเสด็จเหาะไปทางอากาศโดยมีภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร
                ฝ่ายสรทดาบสจึงไปหาสิริวัฑฒกุฎุมพีผู้สหาย   สิริวัฑฒกุฎุมพีปราศรัยว่า  นานหนอพระผู้เป็นเจ้าจะได้มา  แล้วนิมนต์ให้นั่งบนอาสนะ ส่วนตนนั่งบนอาสนะที่ต่ำกว่า ถามว่า  พวกศิษย์ของท่านไม่มาด้วยหรือขอรับ  สรทดาบสกล่าวว่า  เจริญพรสหาย  พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าเสด็จมาในอาศรมของพวกอาตมภาพ  พวกอาตมภาพได้กระทำสักการะแด่พระองค์ท่านตามกำลังของตนๆ   พระศาสดาทรงแสดงธรรมโปรดดาบส ในเวลาจบเทศนาดาบสทั้งหมดได้บรรลุพระอรหัตแล้วบวชเป็นภิกษุ  เว้นอาตมภาพ
                สิริวัฑฒกุฎุมพีถามว่า  เพราะเหตุไรท่านจึงไม่บวช  สรทดาบสกล่าวว่า อาตมภาพเห็นพระนิสภเถระอัครสาวกของพระศาสดาแล้ว จึงได้ปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกในศาสนาของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคดม ผู้จะเสด็จอุบัติในอนาคต  แม้ตัวท่านก็จงปรารถนาตำแหน่งทุติยสาวกในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเถิด
              สิริวัฑฒกุฎุมพีกล่าวว่า  ท่านขอรับ  กระผมไม่มีความคุ้นเคยกับพระพุทธเจ้า   สรทดาบสกล่าวว่า  การกราบทูลกับพระพุทธเจ้าจงเป็นภาระของอาตมภาพ  ท่านจงตระเตรียมสักการะอันยิ่งยวดไว้เถิด
สิริวัฑฒกุฎุมพีฟังคำของสรทดาบสแล้ว จึงให้ปรับสถานที่ประมาณ ๘ กรีส ตามมาตราหลวง ให้มีพื้นที่เสมอกัน   สถานที่ในนิเวศน์ของตน  แล้วให้เกลี่ยทราย โปรยดอกไม้มีข้าวตอกเป็นที่ ๕ ให้สร้างมณฑปมุงด้วยดอกอุบลขาบ  ตกแต่งพุทธอาสน์ จัดอาสนะสำหรับพระภิกษุสงฆ์  เตรียมเครื่องสักการะสัมมานะเป็นอันมาก  แล้วแจ้งข่าวแก่สรทดาบสเพื่อทูลนิมนต์พระพุทธเจ้า 
                ดาบสได้ฟังคำของสิริวัฑฒกุฎุมพีนั้นแล้ว จึงพาภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ไปยังนิเวศน์ของสิริวัฑฒกุฎุมพี 
สิริวัฑฒกุฎุมพีรับเสด็จ  รับบาตรจากพระหัตถ์ของพระตถาคต  นิมนต์ให้เสด็จเข้าไปยังมณฑป  ถวายน้ำทักษิโณทกแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  อังคาสด้วยโภชนะอันประณีต  ในเวลาเสร็จภัตกิจ ก็ให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขครองผ้าอันควรค่ามาก แล้วกราบทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ความริเริ่มนี้เพื่อต้องการฐานะอันมีประมาณเล็กน้อยก็หามิได้  ขอพระองค์ทรงกระทำความอนุเคราะห์ตลอด ๗ วันโดยทำนองนี้แหละ  พระศาสดาทรงรับนิมนต์แล้ว
                สิริวัฑฒกุฎุมพีนั้นยังมหาทานให้เป็นไปไม่ขาดสายตลอด ๗ วันโดยทำนองนั้นนั่นแหละ แล้วถวายอภิวาทพระผู้พระภาค ยืนประคองอัญชลีกราบทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  สรทดาบสสหายของข้าพระองค์ปรารถนาว่า ขอให้เป็นอัครสาวกของพระศาสดาองค์ใด  ข้าพระองค์ขอเป็นทุติยสาวกของพระศาสดาองค์นั้นเหมือนกัน
พระศาสดาทรงตรวจดูอนาคต ทรงเห็นว่า ความปรารถนาของเขาจะสำเร็จ จึงทรงพยากรณ์ว่า  ล่วงไปหนึ่งอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปจากภัทรกัปนี้ไป  ท่านจักเป็นทุติยสาวกของพระโคดมพุทธเจ้า  สิริวัฑฒกุฎุมพีได้ฟังคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นผู้ยินดีร่าเริง  ฝ่ายพระศาสดาทรงทำภัตตานุโมทนาแล้ว พร้อมทั้งบริวารเสด็จกลับไปยังพระวิหาร
จำเดิมแต่นั้นมา  สิริวัฑฒกุฎุมพีก็กระทำกุศลกรรมตลอดชีวิต แล้วบังเกิดในเทวโลกชั้นกามาวจร  สรทดาบสเจริญพรหมวิหาร ๔  ได้บังเกิดในพรหมโลก  ครั้นสิ้นอายุแล้วได้มาเกิดเป็นมนุษย์พร้อมกันในชาติสุดท้าย  สรทดาบสมาเกิดเป็นพระสารีบุตร สิริวัฑฒกุฎุมพีมาเกิดเป็นพระมหาโมคคัลลานะ

No comments:

Post a Comment